วันพุธที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2553

นิทานพัฒนาทักษะคณิตศาสตร์เด็กปฐมวัย

นิทานพัฒนาทักษะคณิตศาสตร์เด็กปฐมวัย

นิทานพัฒนาทักษะคณิตศาสตร์เด็กปฐมวัย
                   การเตรียมความพร้อมด้านทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย เป็นสิ่งสำคัญที่ครู
ผู้สอนต้องจัดประสบการณ์ให้กับเด็ก เนื่องจากเป็นวิชาบังคับที่เด็กต้องเรียนรู้ในระดับประถมศึกษา
                  ธรรมชาติของการเรียนรู้ทักษะคณิตศาสตร์ ต้องเป็นไปตามลำดับขั้นตอนจากง่ายไปสู่ยาก โดยเฉพาะการเรียนรู้เรื่องจำนวน หากเด็กยังไม่เข้าใจความหมายของจำนวน เด็กก็ไม่สามารถเรียนรู้ทักษะอื่นๆที่ซับซ้อนขึ้น เช่น การบวก ลบ ต่อไปได้ ดังนั้นการพัฒนาทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยให้รู้ค่ารู้จำนวน จึงเป็นสิ่งที่ครูจะละเลยไม่ได้  สิ่งที่ครูต้องตระหนักอย่างมากประการหนึ่งคือ จะใช้นวัตกรรมหรือวิธีการใดที่จะทำให้เด็กเกิดทักษะคณิตศาสตร์ได้อย่างเข้าใจและมีทัศนคติที่ดีต่อการเรียนรู้คณิตศาสตร์  ขั้นตอนแรกเด็กต้องเรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า ให้เด็กได้หยิบจับ นับสิ่งของรอบๆตัว และต้องทำซ้ำๆสม่ำเสมอ เมื่อเด็กเริ่มเรียนรู้จำนวนโดยการสัมผัสของจริงแล้ว ก็สามารถเริ่มให้เด็กได้ฝึกทักษะในรูปแบบที่เป็นนามธรรมได้บ้าง เช่น การใช้ภาพเป็นสื่อแทนของจริง
                  จากประสบการณ์การเป็นครูปฐมวัยมานาน พบปัญหาด้านการไม่รู้ค่าจำนวนของเด็กอยู่เสมอ จึงได้ศึกษาวิเคราะห์หาสาเหตุและได้สร้างชุดกิจกรรม  BBL     ( Brain – Based Learning  ) พัฒนาทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์เด็กปฐมวัย การรู้ค่าจำนวน 1-5  เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ชุดกิจกรรมและกระบวนการชุดนี้ออกแบบโดยใช้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการทำงานของสมองเป็นฐานข้อมูล BBL ( Brain – Based Learning )  ในการออกแบบการจัดการเรียนรู้  และสร้างชุดกิจกรรม  เพื่อพัฒนาด้านสติปัญญาโดยให้เด็กมีประสบการณ์สำคัญเรื่อง  จำนวน  และสภาพที่พึงประสงค์  เกี่ยวกับการรู้ค่าจำนวน  1- 5  สนองตอบต่อความสามารถและความถนัดในการใช้สมองที่มีต่อการเรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้าของแต่ละบุคคล  โดยการฝึกให้ปฏิบัติซ้ำ ๆ ประกอบด้วยกระบวนการใช้กิจกรรม 4 ขั้นตอน
1) ขั้นสร้างความสนใจ กิจกรรมที่ใช้  เพลง,  เกม/การเคลื่อนไหวประกอบเพลง,
การเล่นบทบาทสมมติประกอบเพลง
2) ขั้นให้ประสบการณ์ กิจกรรมที่ใช้  การเล่านิทานประกอบภาพ,  การนิทานประกอบแผ่นป้ายสำลี,  การเล่านิทานประกอบการแสดงท่าทาง
3)      ขั้นปฏิบัติงานฝึกทักษะ  กิจกรรมที่ใช้  เกมการศึกษา,  แบบฝึกทักษะ,  หนังสือเล่ม
เล็ก,กิจกรรมศิลปะ
4)      ขั้นประเมินผลการเรียนรู้  ( การประเมินพัฒนาการทางสติปัญญา) กิจกรรมที่ใช้แบบประเมินผลการเรียนรู้

          ในส่วนของนิทาน จากการศึกษาพบว่า เด็กชอบสื่อประเภทนิทาน และผลจากงานวิจัยหลายชิ้นพบว่าเด็กชอบนิทานประเภทคำคล้องจอง เพราะมีภาษาและเสียงที่มีคำสัมผัสคล้องจอง ทำให้เด็กเพลิดเพลิน และง่ายต่อการจดจำ นำไปพูดต่อได้
           
          ตัวอย่างนิทานในชุดกิจกรรมที่ 1 ตัวเลขสวัสดี

นิทานเรื่อง ตัวเลขสวัสดี
( ผู้แต่ง  นาถศจี สงค์อินทร์ )

                   สวัสดีเด็กน้อยน่ารัก                        ใครรู้จักช่วยบอกฉันที
ว่าตัวฉันนี้ชื่อเลขอะไร
            ใช่แล้ว ใช่แล้วคนเก่ง                       ตัวฉันเองชื่อเลข หนึ่งไง
เด็กๆจำหน้าฉันไว้                                       ฉันเลข หนึ่งไง สวัสดี สวัสดี
สวัสดีเด็กน้อยน่ารัก                        ใครรู้จักช่วยบอกฉันที
ว่าตัวฉันนี้ชื่อเลขอะไร
            ใช่แล้ว ใช่แล้วคนเก่ง                       ตัวฉันเองชื่อเลข สองไง
เด็กๆจำหน้าฉันไว้                                       ฉันเลข สองไง สวัสดี สวัสดี
สวัสดีเด็กน้อยน่ารัก                        ใครรู้จักช่วยบอกฉันที
ว่าตัวฉันนี้ชื่อเลขอะไร
            ใช่แล้ว ใช่แล้วคนเก่ง                       ตัวฉันเองชื่อเลข สามไง
เด็กๆจำหน้าฉันไว้                                       ฉันเลข สามไง สวัสดี สวัสดี
สวัสดีเด็กน้อยน่ารัก                        ใครรู้จักช่วยบอกฉันที
ว่าตัวฉันนี้ชื่อเลขอะไร
            ใช่แล้ว ใช่แล้วคนเก่ง                       ตัวฉันเองชื่อเลข สี่ไง
เด็กๆจำหน้าฉันไว้                                       ฉันเลข สี่ไง สวัสดี สวัสดี
สวัสดีเด็กน้อยน่ารัก                        ใครรู้จักช่วยบอกฉันที
ว่าตัวฉันนี้ชื่อเลขอะไร
            ใช่แล้ว ใช่แล้วคนเก่ง                       ตัวฉันเองชื่อเลข ห้าไง
เด็กๆจำหน้าฉันไว้                                       ฉันเลข ห้าไง สวัสดี สวัสดี
            เรียนรู้เลขหนึ่งถึงห้า                       ว่าหน้าตาฉันเป็นอย่างนี้
เด็กๆช่วยนับอีกที                                       หนึ่งถึงห้านี้นับพร้อมๆกัน
1….     2 ….    3 ….    4 ….    5 ….

                                สำหรับคุณครูปฐมวัย ลองนำนิทานเรื่องนี้ไปพูดให้เด็กฟังประกอบบัตรภาพตัวเลขก่อนก็ได้นะคะ หรือจะนำไปสร้างเป็นหนังสือนิทานเป็นรูปเล่มก็ได้ อนุญาตให้นำไปใช้ได้ค่ะ หากเห็นคุณค่านะคะ

สอนคณิตศาสตร์ให้ลูก

สอนคณิตศาสตร์ให้ลูก
          เมื่อพูดถึงคณิตศาสตร์ หลายคนส่ายหน้า บอกว่าไม่ชอบ ไม่เข้าใจ ยาก ตอนสอบก็เกือบตก เข้าความจริงแล้วจะไปโทษเด็กหรือโทษคนไม่ชอบคณิตศาสตร์ก็คงไม่ได้ ต้องโทษระบบการศึกษาของเรา ที่ไม่มีครูคณิตศาสตร์ดีๆ เพียงพอ ครูสอนคณิตศาสตร์เป็นใครก็ไม่รู้ บางทีก็เอาครูวิทยาศาสตร์มาสอน จึงไม่สามารถอธิบายให้เด็กเข้าใจได้ เมื่อไม่เข้าใจแต่ต้น ยิ่งเรียนสูงก็ยิ่งไม่เข้าใจ ยิ่งไม่เข้าใจก็ยิ่งเบื่อ ยิ่งเบื่อก็ยิ่งไม่อยากเรียน ก็เลยพาลไม่ชอบไปเลย

          ความจริงคณิตศาสตร์เป็นเรื่องสนุก คณิตศาสตร์ไม่ใช่เรื่องตัวเลขที่หลายคนลายตา หัวใจของคณิตศาสตร์สอนให้คนรู้จักคิด มีเหตุมีผล รู้ประมาณ รู้ขอบเขต รู้ว่าอะไรเป็นไปได้ อะไรเป็นไปไม่ได้ คณิตศาสตร์สอนให้คนมองอะไรกว้างขึ้น และยังมองลึกกว่าคนทั่วไป ตัวเลขของคณิตศาสตร์เป็นเพียงบันใดที่จะไต่ไปสู่เป้าหมายที่กล่าวข้างต้น

          สมมุติว่ามีคนมาบอกว่า " พาราเซตตามอลเป็นยาแก้ปวดที่ปลอดภัยที่สุด " คนทั่วไปก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ปลอดภัยก็ปลอดภัย ปลอดภัยก็กิน แต่คนที่เข้าใจคณิตศาสตร์ กลับมองไปอีกอย่าง คงอยากทราบใช่ไหมว่ามองอย่างไร

          การที่บอกว่า พาราเซตตามอลเป็นยาแก้ปวดที่ปลอดภัยที่สุด คำว่า " ที่สุด " ก็แปลว่า ยังมียาแก้ปวดอย่างอื่นให้เราเลือกใช้อีก ยาแก้ปวดไม่ได้มีแต่พาราเซตตามอลอย่างเดียว

          คำว่า " ปลอดภัยที่สุด " ไม่ได้แปลว่าปลอดภัย 100 % ปลอดภัยที่สุด แปลได้เพียงว่า ในบรรดายาแก้ปวดที่มีอยู่ ยาพาราเซตตามอลปลอดภัยกว่ายาแก้ปวดตัวอื่นๆ ความปลอดภัยอาจแค่ สมมุติว่า 90 % คนเข้าใจคณิตศาสตร์จะถามต่อว่า แล้วที่ไม่ปลอดภัยหรือที่ต้องระมัดระวังมีอะไรบ้าง

          ถ้าสมมุติว่า พาราเซตตามอลปลอดภัย 90 % แต่ยาแก้ปวดอีกตัวที่ปลอดภัยรองลงมา มีความปลอดภัย 85 % แต่ราคากำละ 1 บาท (หนึ่งกำมีตั้งหลายสิบเม็ด) ในขณะที่พาราเซตตามอล เม็ดละหนึ่งบาท บางทีเราอาจไม่เลือกพาราเซตตามอลก็ได้

          เห็นไหมครับว่าคนเข้าใจคณิตศาสตร์มองอะไรๆ ได้กว้างกว่า คิดอะไรๆ ได้ลึกกว่าคนธรรมดาทั่วไป ดังนั้นจึงไม่แปลกที่คนเรียนคณิตศาสตร์ได้ดี จึงมักเรียนวิชาอื่นได้ดีด้วย ทั้งนี้ก็เพราะคณิตศาสตร์ สอนให้รู้จักคิด รู้จักประยุกต์ความเข้าใจ จึงทำให้เรียนและเข้าใจวิชาอื่นได้ดีกว่าคนที่ไม่ชอบคณิตศาสตร์

          การที่จะทำให้เด็กเก่งคณิตศาสตร์ได้นั้น ต้องปลูกฝังตั้งแต่เด็ก พ่อแม่จึงต้องเป็นครูคณิตศาสตร์ คนแรกของลูก พูดอย่างนี้หลายคนตกใจว่าเราเองก็แย่เอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว จะไปสอนคณิตศาสตร์ ให้ลูกได้อย่างไร

          ความจริงไม่ใช่เรื่องยาก ท่านสามารถสอนลูกปลูกฝังลูกได้โดยลูกไม่รู้ตัว อย่างเช่น เวลาขับรถไปส่งลูกที่โรงเรียน ถ้าลูกยังเล็กอยู่ก็ให้อ่านตัวเลขทะเบียนรถ ถ้าโตขึ้นมาหน่อย ก็ลองให้ลูกบวกลบตัวเลขทะเบียนรถ ถ้าลูกโตขึ้นมาอีก ก็อาจกำหนดคำตอบแล้วให้ลูก ใช้ตัวเลขทะเบียนรถมาบวกลบคูณหารให้ได้ตรงคำตอบหรือใกล้เคียงที่สุด หน้าปัดความเร็วรถ คุณก็สามารถสอนเรื่องความเร็ว สอนเรื่องหน่วย ไมล์ กิโลเมตร นาฬิกาบนหน้าปัดรถ คุณก็สามารถสอนเรื่องเวลา นาที วินาที ชั่วโมง สอนเรื่องการอ่านเวลา สอนเรื่องการตรงต่อเวลา สอนเรื่องวงกลม สอนเรื่องการเคลื่อนที่ของเข็มยาว เข็มสั้น

          เมื่อพาลูกไปซุปเปอร์มาร์เก็ต ถ้าเป็นเด็กเล็กคุณก็สามารถสอนเรื่องรูปทรงต่างๆ รูปทรงกลม ทรงเหลี่ยม จากป้ายราคา คุณก็ยังสามารถสอนเรื่อง บาท สตางค์ สอนเรื่องโหล กุรุส ราคาต่อหน่วย ของชนิดเดียวกันต่างยี่ห้อเปรียบเทียบว่าอันไหนถูกกว่าอันไหนแพงกว่า ถ้าเด็กโตขึ้นมาหน่อย ก็อาจให้ลองบวกเลขรวมจำนวนเงินที่ต้องจ่าย ถ้าให้ธนบัตรเท่านี้ จะได้รับเงินทอนเท่าไหร่ หยิบน้ำปลามาหนึ่งขวดคุณจะสอนอะไรให้กับลูกได้บ้าง เริ่มจากรูปทรงของขวด ถ้าเด็กโตขึ้นมาหน่อย ก็สอนเรื่องปริมาตร ลิตร ซีซี ถ้าเด็กโตขึ้นมาอีกหน่อย เปอร์เซ็นต์ส่วนประกอบของน้ำปลา ราคาที่ประหยัดกว่าเมื่อซื้อขวดใหญ่ เมื่อเทียบกับซื้อขวดเล็ก คุณพ่อคุณแม่สามารถทำให้ การไปซุปเปอร์มาร์เก็ตเกิดความสนุกสนาน และเกิดการเรียนรู้ไปด้วย

          เห็นไหมครับสิ่งรอบตัวคุณสามารถนำมาประยุกต์สอนเด็กได้ เป็นการปลูกฝังให้เด็ก รักคณิตศาสตร์โดยไม่รู้ตัว และไม่ต้องกลัวว่าคุณจะสอนไม่ได้ เพราะเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องพื้นๆ สำหรับผู้ใหญ่ทั่วไปที่ต้องรู้อยู่แล้ว อยู่ที่ตัวท่านจะเอาใจใส่แค่ไหนมากกว่าเมื่อเด็กรักคณิตศาสตร์ ชอบคณิตศาสตร์ เมื่อโตขึ้นเด็กก็จะขวนขวายหาความรู้เพิ่มเติมเอง คณิตศาสตร์ก็จะไม่เป็นยาขม ของเด็กอีกต่อไป
ขอขอบคุณ: นายแพทย์รุ่งโรจน์ ตรีนิติ
http://www.clinicrak.com
 

ทักษะทางวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย


ทักษะทางวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย
             เด็กปฐมวัยเป็นวัยที่มีความอยากรู้อยากเห็นต่อสิ่งแวดล้อมอยู่ตลอดเวลา เพราะเป็นวัยที่มีการพัฒนาทางสติปัญญา สูงที่สุดของชีวิต ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็นทักษะที่ส่งเสริมให้เด็กปฐมวัยสามารถคิดหาเหตุผล แสวงหาความรู้ สามารถแก้ปัญหาได้ตามวัยของเด็ก ควรจัด
กิจกรรมให้เด็กได้ลงมือกระทำด้วยตนเองจากสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัว
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ อันเป็นกระบวนการขั้นพื้นฐานหรือทักษะเบื้องต้นที่ควรส่งเสริมให้เด็กปฐมวัยได้รับการพัฒนา มี 7 ทักษะกระบวนการ คือ ทักษะการสังเกต ทักษะการจำแนกประเภท ทักษะการวัด ทักษะการสื่อความหมาย ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล ทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปส และสเปสกับเวลา และทักษะการคำนวณ มีรายละเอียดของแต่ละทักษะดังนี้
ทักษะการสังเกต
             การสังเกต (Observation) หมายถึง การใช้ประสาทสัมผัสอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างรวมกัน ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น และผิวกาย เข้าไปสัมผัสโดยตรงกับวัตถุหรือเหตุการณ์ โดยมีจุดประสงค์ที่จะหาข้อมูลซึ่งเป็นรายละเอียดของสิ่งนั้น ๆ โดยไม่ใส่ความคิดเห็นของผู้สังเกตลงไป
ทบวงมหาวิทยาลัย (2525:60) ได้กล่าวว่า ในการสังเกตต้องระวังอย่านำความคิดเห็นส่วนตัวไปปนกับความจริงที่ได้จากการสังเกตเป็นอันขาด เพราะการลงความคิดเห็นของเราในสิ่งที่สังเกตอาจจะผิดก็ได้ ถ้าอยากรู้ว่าข้อมูลที่บันทึกนั้นเกิดจาการสังเกตหรือไม่ ต้องถามตัวเองว่า ข้อมูลที่ได้นี้ได้มาจากการใช้ประสาทสัมผัสส่วนไหนหรือเปล่า ถ้าคำตอบว่าใช่ แสดงว่าเป็นการสังเกตที่แท้จริง
นิวแมน (Neuman 1978: 26) ได้เสนอหลักสำคัญไปสู่การสังเกตสำหรับเด็กปฐมวัย ดังนี้
             1. ความรู้ที่ได้จากการสังเกตต้องเกี่ยวข้องกับประสาทสัมผัสทั้งห้า
             2. ควรใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าในการสังเกตอย่างละเอียดละออ
             3. ต้องใช้ความสามารถของร่างกาย โดยเฉพาะประสาทสัมผัสทั้งห้าในการสังเกตอย่าง
ระมัดระวัง และจากประสบการณ์ที่ได้รับจะทำให้การสังเกตของเด็กพัฒนาขึ้น การสังเกตสามารถกลายเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ที่มีคุณค่า
สุชาติ โพธิวิทย์ (ม.ป.ป.:15) ได้กล่าวถึงการสังเกตที่สำคัญที่ควรฝึกให้แก่เด็ก มี 3 ทางคือ
             1. การสังเกตรูปร่างลักษณะและคุณสมบัติทั่วไป คือ ความสามารถในการใช้ประสาท
สัมผัสทั้ง 5 อย่าง สังเกตสิ่งต่าง ๆ แล้วรายงานให้ผู้อื่นเข้าใจได้ถูกต้อง คือ การใช้ตาดูรูปร่าง ลักษณะ หูฟังเสียง ลิ้นชิมรส จมูกดมกลิ่น และการสัมผัสจับต้องดูว่าเรียบ ขรุขระ แข็ง นิ่ม ฯลฯ
             2. การสังเกตควบคู่กับการวัดเพื่อทราบปริมาณ เช่น การใช้เทอร์โมมิเตอร์ ตาชั่ง ไม้บรรทัด กระบอกตวง ช้อน ลิตร ถัง ฯลฯ ใช้เครื่องมือเหล่านี้วัดสิ่งต่าง ๆ แล้วรายงานออกมาเป็นปริมาณ เป็นจำนวน
             3. การสังเกตเพื่อรู้ถึงการเปลี่ยนแปลง เช่น สังเกตการเจริญเติบโตของต้นพืช การเจริญ
เติบโตของสัตว์ การเปลี่ยนแปลงทางเคมี การเปลี่ยนแปลงขนาดของผลึก การกลายเป็นไอของน้ำ ฯลฯ
ตัวอย่างการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมทักษะการสังเกต

การสังเกตโดยใช้ตา
             ในการสังเกตโดยใชสายตานั้น หากเด็กได้รับการชี้แนะให้รู้จักสังเกตลักษณะของสิ่งต่าง ๆ สังเกตความเหมือน ความแตกต่าง รู้จักจำแนก และจัดประเภทก็จะช่วยให้เด็กมี นิสัยในการมองสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวอย่างละเอียดรอบคอบ โดยขั้นแรกให้ดูสิ่งที่เด็กพบ เห็นอยู่ทุกวัน เช่น ต้นไม้ ขณะที่พาเด็กไปเดินเล่นในบริเวณโรงเรียน ครูเก็บใบไม้ต่าง ๆ ที่หล่นอยู่บนพื้นมาให้เด็กดู (ไม่ควรเด็ดใบไม้จากต้น ถ้าเด็กอยากเด็ด ให้บอกเด็กว่า “เก็บ จากพื้นดีกวา ดอกไม้ใบไม้ที่อยู่กับต้นช่วยให้ต้นไม้ดูสวยงามและเจริญเติบโต ถ้าเราเด็ด ออกมาดูอีกเดี๋ยวเดียวก็จะเหี่ยว”) ให้เด็กสังเกตสีของใบไม้ต่าง ๆ เด็กจะเห็นว่า ใบไม้ ส่วนใหญ่มีสีเขียว แต่บางใบก็มีสีแตกต่างไป ส่วนรูปร่างลักษณะก็มีทั้งคล้ายกันและต่าง กัน เช่น ใบมะนาวไม่มีแฉก ใบตำลึงมีแฉก เป็นต้น นอกจากใบไม้แล้ว ควรให้เด็กสังเกตุ รูปทรงต่าง ๆ ของพืช เช่น เป็นลำต้นตรงสูงขึ้นไป เป็นเถาเลื้อยเกาะกับต้นอื่น ให้สังเกต ความแตกต่างของดอกไม้ และผลไม้ต่าง ๆ เช่น ดอกอัญชันมีสีม่วงเข้ม ส่วนดอกมะลิมีสี ขาว แล้วให้เด็กนำไปใช้ประโยชน่อะไรได้ เช่น เอาดอกอัญชันไปใช้ย้อมผ้าได้ ใบเตยนำ
ไปใช้ในการทำขนม ทำให้มีสีสวยและกลิ่มหอม เป็นต้น
นอกจากสังเกตใบไม้แล้ว ครูควรจัดหาเมล็ดพืชหลาย ๆ ชนิดมาให้เด็กเล่นเพื่อ สังเกตลักษณะรูปร่างขนาด สี และหัดแยกประเภท และจัดหมวดหมู่ โดยนำเมล็ดที่มีลักษณะคล้ายกันไว้ด้วยกัน รวมทั้งให้คิดว่าเป็นเมล็ดของพืชชนิดใดด้วย
อุปกรณ์ที่มีประโยชน์มากสำหรับการสังเกต คือ แว่นขยาย เด็ก ๆ มักตื่นเต้นที่ได้ เห็นสิ่งต่าง ๆ มีขนาดใหญ่ขึ้น และเห็นรายละเอียดอย่างชัดเจน เช่น ตัวมด ใบไม้ เส้นผม ผิวหนัง เสื้อผ้า ก้อนหิน เม็ดทราย เป็นต้น
การสังเกตโดยใช้หู
             นอกจากความสามารถในการจำแนกเสียงจะมีประโยชน์ต่อการเตรียมความพร้อม ทางภาษาแล้วยังมีประโยชน์ในการศึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งที่อยู่รอบตัวเด็กอีกด้วย เสียงที่เด็กคุ้นหูคือ เสียงสัตว์ต่าง ๆ ครูอาจใช้วิธีอัดเสียงนกในท้องถิ่น เสียงกบร้อง เสียง จักจั่น ฯลฯ แล้วเปิดเทปให้เด็กทายว่าเป็นเสียงสัตว์อะไรที่เด็กรู้จักสังเกตความแตกต่าง ของเสียงเหล่านี้จะช่วยให้ครูสามารถเชื่อมโยงไปสู่การสอนเกี่ยวกับลักษณะและความเป็น อยู่ของสัตว์ต่าง ๆ ได้ และช่วยให้เด็กมีความกระตือรือร้นที่จะสังเกตและศึกษาหาความรู้ เพิ่มเติมมากขึ้น
สำหรับการฟังเสียงสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว อาจใช้วิธีให้เด็กปิดตา แล้วเดาว่าเสียงที่ ครูทำนั้นเป็นเสียงอะไร เช่น เสียงเคาะไม้ เสียงช้อนคนแก้วน้ำ เสียงฉิ่ง เป็นต้น จากการ ฟังเสียงที่แตกต่างกันของวัตถุเหล่านี้ เด็กจะเรียนรู้ถึงความแตกต่างของวัตถุซึ่งมีผลทำให้ เกิดเสียงที่ต่างกันไป นอกจากนี้ อาจนำเครื่องดนตรี หรือเครื่องให้จังหวะที่ทำด้วยวัสดุ ต่าง ๆ มาแสดงให้เด็กเห็นว่ามีเสียงต่างกัน เช่น ลูกซัดที่ใส่ถั่วเขียวไว้ข้างใน ลูกซัดหวาย ร้อนด้วยฝาน้ำอัดลม กรับไม้ไผ่ ฯลฯ
การสังเกตโดยใช้จมูก
             กิจกรรมที่ใช้การดมกลิ่น ควรประกอบด้วยการให้ดมสิ่งที่มีกลิ่นต่าง ๆ กัน รวม ทั้งให้ดมสิ่งที่มีกลิ่นคล้าย ๆ กัน แต่มีความแตกต่างกันบ้างเล็กน้อยเพื่อให้รู้จักจำแนกได้ ละเอียดขึ้น ในขั้นแรกให้นำของต่าง ๆ ที่จะให้เด็กดมใส่ขวดเอากระดาษปิดขวดรอบนอก เพื่อไม่ให้เห็นสิ่งของ ให้เด็กดมแล้วบอกว่าเป็นกลิ่นอะไร ตัวอย่างสิ่งที่อาจให้ดม ได้แก่ หัวหอม กระเทียม สบู่ กาแฟ ใบสะระแหน่ เปลือกส้ม ยาดม ฯลฯ ต่อมาหลังจากที่เด็ก สามารถจำแนกกลิ่นต่าง ๆ ได้แล้ว ควรให้ดมกลิ่นสิ่งที่มีกลิ่นคล้ายกัน แต่ก็มีความ
แตกต่างกันอยู่บ้าง เช่น สบู่ต่างชนิดกัน ดอกไม้ต่าง ๆ ใบไม้ต่าง ๆ ผลไม้ เช่น ส้ม กับมะนาว แล้วให้เด็กพูดบรรยายความรู้สึก เช่น ดอกไม้ดอกนี้หอมชื่นใจ ดอกนี้หอมแรงไป หน่อย ใบไม้นี้มีกลิ่นหอม ใบนี้กลิ่นคล้ายของเปรี้ยว เป็นต้น
การสังเกตโดยใช้ลิ้น
             การใช้ลิ้นชิมรสอาหารต่าง ๆ เป็นกิจกรรมที่เด็กสนุกสนานเพราะสอดคล้องกับ ธรรมชาติของเด็กที่ชอบชิม แทะ สิ่งต่าง ๆ แต่ต้องสอนให้เด็กเข้าใจว่าสิ่งใดเอาเข้าปากได้ และสิ่งใดไม่ควรแตะต้องเพราะมีพิษหรือเป็นอันตรายต่อร่างกาย เมื่อเด็กไปพบเห็นสิ่ง ต่าง ๆ ที่มีอยู่ตามธรรมชาติจะได้ไม่เอาเข้าปาก การให้เด็กได้ชิมรสต่าง ๆ นี้ก็เพื่อให้รู้จัก ความแตกต่างของรส และรู้จักลักษณะของสิ่งที่นำมาใช้เป็นอาหารดียิ่งขึ้น ในการจัดกิจกรรมนั้น ให้เอาอาหารชิ้นเล็ก ๆ หลายอย่างใส่ถาดให้เด็กปิดตาแล้วครูส่งให้ชิม ให้เด็ก ตอบว่า กำลังชิมอะไร รสเป็นอย่างไร เช่น น้ำตาล เกลือ วุ้น มะยม มะนาว ฯลฯ หลังจาก นั้นให้เปรียบเทียบอาหารที่มีรสหล้ายกันว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร เช่น มะยมกับ มะนาวแตกต่างกันอย่างไร
การสังเกตโดยใช้การสัมผัสทางผิวหนัง
             การสัมผัสโดยใช้มือแตะหรือเอาสิ่งของต่าง ๆ มาสัมผัสผิวหนัง ช่วยให้เด็กได้ เรียนรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติของวัตถุต่าง ๆ และเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ในระดับสูงขึ้นไป กิจกรรมอาจเริ่มโดยเอาวัตถุหลายอย่างใส่ถุง ให้เด็กปิดตาเอมมือหยิบสิ่งของขึ้นมา แล้ว ให้บอกว่าสิ่งที่คลำมีลักษณะอย่างไร เช่น นุ่ม แข็ง หยาบ เรียบ ขรุขระ เย็น อุ่น บาง หนา ฯลฯ ของที่นำมาใส่ในถุงควรเป็นสิ่งที่มีพื้นผิวแตกต่างกัน เช่น ผ้าเนื้อต่าง ๆ กระดาษ หยาบ ฟองน้ำ ไม้ ขนนก เหรียญ ฯลฯ นอกจากเด็กจะได้ฝึกใช้ภาษาที่เกี่ยวข้องกับวัตถุ เหล่านี้แล้วยังได้เรียนรู้ลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันของวัตถุแต่ละชนิดอีกด้วย

ทักษะการจำแนกประเภท
             การจำแนกประภท (Classifying) หมายถึง ความสามารถในการแบ่งประเภทสิ่งของโดยหาเกณฑ์ (Criteria) หรือสร้างเกณฑ์ในการแบ่งขึ้น เกณฑ์ที่ใช้ในการจำแนกประเภทของสิ่งของมีอยู่ 3 อย่าง คือ ความเหมือน (Similarities) ความแตกต่าง (Differences) และความสัมพันธ์ร่วม (Interrelationships) ซึ่งแล้วแต่เด็กจะเลือกใช้เกณฑ์อันไหน นอกจากนี้ ประภาพรรณ สุวรรณสุข (2527:37) ได้ให้ความหมายของการจำแนกประเภทว่า หมายถึง การใช้ประสาทสัมผัสส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายจัดสิ่งต่าง ๆ ให้เข้าอยู่ในประเภทเดียวกัน ซึ่งการจัดประเภทนี้อาจทำได้หลายวิธี เช่น แยกประเภทตามตัวอักษร ตามลักษณะ รูปร่าง แสง สี เสียง ขนาด ประโยชน์ในการใช้ เป็นต้น
นิวแมน ได้อธิบายว่า เด็กปฐมวัยสามารถจำแนกวัตถุออกเป็นกลุ่ม ๆ ได้โดยการใช้คุณสมบัติเฉพาะตัวของวัตถุหรือมิติของวัตถุนั้น ๆ เป็นเกณฑ์ในการจำแนก อาทิ สี ความแข็งแรง ขนาดและรูปร่าง เป็นต้น เด็กบางคนอาจจำแนกวัตถุต่าง ๆ ออกเป็นกลุ่มได้โดยใช้คุณสมบัติหรือมิติมากกว่าหนึ่งอย่าง ในการจำแนกนี้เด็กควรจะได้รับโอกาสที่ให้สามารถคิดตัดสินใจในการจำแนกโดยใช้วิธีการจำแนกของเด็กเอง และไม่ใช่วิธีการจำแนกของผู้อื่นกำหนดให้ สำหรับ เรส์ด และแพทเตอร์สัน (Resd and Patterson) ได้กล่าวในทำนองเดียวกันว่า การจำแนกประเภทเป็นแกนกลางของการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย ที่ใช้วิธีการจัดระเบียบการสังเกตด้วยตนเอง การจำแนกประเภทนั้นมีสิ่งที่เกี่ยวข้องอยู่ 2 อย่าง คือ เนื้อหาของกระบวนการวิชา คือ วิชาวิทยาศาสตร์ และวิธีการของการสืบเสาะทางวิทยาศาสตร์ ตลอดทั้งกระบวนการของการจำแนกประเภทของเด็กในการเรียนเกี่ยวกับลักษณะพิเศษของวัตถุชนิดต่าง ๆ ซึ่งเด็กปฐมวัยนั้นสามารถจะจำแนกคุณสมบัติของวัตถุได้โดยใช้วิธีการพื้นฐานง่าย ๆ นอกจากนี้ทบวงมหาวิทยาลัย (2525:68) ได้กล่าวถึงการจำแนกประเภทว่า เป็นกระบวนการที่นักวิทยาศาสตร์ใช้จำแนกสิ่งต่าง ๆ ออกเป็นหมวดหมู่เพื่อช่วยให้เกิดความสะดวกในการศึกษาและจดจำ โดยอาศัยเกณฑ์บางอย่างในการจำแนกสิ่งเหล่านี้ เช่น จำแนกสิ่งมีชีวิตออกเป็นพืชและสัตว์ โดยอาศัยลักษณะรูปร่าง การเคลื่อนไหว การกินอาหาร การขับถ่ายของเสีย และการสืบพันธุ์เป็นเกณฑ์ในการจำแนก เมื่อพิจารณาคุณสมบัติเหล่านี้แล้วจะเห็นได้ชัดเจนว่า พืชและสัตว์แตกต่างกันมาก บางครั้งอาจจะมีปัญหาอยู่บ้างในการเลือกเกณฑ์ที่จะใช้ในการจำแนกประเภท ยกตัวอย่างเช่น แป้งเปียกมีลักษณะกึ่งกลางระหว่างของแข็งกับของเหลว จึงไม่ทราบจะจัดเข้าประเภทใด ซึ่งตัวอย่างดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นว่า การจำแนกโดยใช้เกณฑ์อย่างหนึ่งอย่างใดแต่เพียงอย่างเดียว จะมีข้อจำกัดในการจำแนกสิ่งต่าง ๆ จึงมีข้อเสนอแนะว่าในการจำแนกนั้นเราจะใช้วิธีใด หลักใดก็ตาม วิธีที่ดี คือ วิธีที่ทำให้เราสามารถแยกประเภทและระบุชนิดของวัตถุต่าง ๆ ได้โดยเด็ดขาด ไม่ควรก้ำกึ่งกันจะทำให้สับสน การพัฒนาทักษะในการจำแนกประเภทนั้น ผู้เรียนจะต้องเริ่มด้วยการจำแนกกลุ่มของวัตถุออกเป็นสองพวกตามเกณฑ์ที่กำหนดอย่างใดอย่างหนึ่ง จากนั้นก็แบ่งต่อไปตามเกณฑ์ที่กำหนดขึ้นเป็นครั้งที่สอง และทำเช่นนี้เรื่อยไป จนกระทั่งผู้เรียนสามารถแบ่งระบุวัตถุที่มีอยู่จำนวนมาก ๆ ได้
ดังนั้นการจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์ให้แก่เด็กปฐมวัยด้วยวีธีการจำแนกประเภท ครูจะต้องพยายามจัดหาวัสดุอุปกรณ์หลาย ๆ ชนิดมาให้เด็กได้เล่น เพื่อให้เด็กเกิดความสนใจอยู่เสมอ กระตุ้นให้เด็กเสนอแนวคิดในการจำแนกวัตถุในหลาย ๆ ลักษณะให้ได้มากที่สุดที่เด็กจะทำได้ และหลังจากที่เด็กจำแนกประเภทได้แล้ว ควรให้เด็กอภิปรายเหตุผลที่เขาได้จำแนกตามประเภทเช่นนั้น

ตัวอย่างการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมทักษะการจำแนกประเภท
การแยกประเภทเมล็ดพืช

แนวคิด
เมล็ดพืชมีความแตกต่างกันในด้านขนาดรูปร่าง สี และความหยาบละเอียดของผิวนอกเมล็ด

วัตถุประสงค์
หลังจากที่ได้ทำกิจกรรมนี้แล้วเด็กสามารถ
             1. แยกประเภทของเมล็ดพืชได้อย่างน้อย 2 ลักษณะ
             2. เกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับความแตกต่างกันของเมล็ดพืชในด้านขนาด รูปร่าง สี และความหยาบละเอียดของผิวนอกเมล็ด

วัสดุอุปกรณ์

             1. เมล็ดพืชชนิดและขนาดที่แตกต่างกันในด้านขนาด รูปร่าง สี และความหมาย ละเอียด เช่น เมล็ด ถั่วเขียว ถั่วดำ ถั่วแดง ข้าวเปลือก น้อยหน่า มะละกอ ชมพู่ ฝรั่ง มะขาม ฯลฯ
             2. ถาด หรือฝากล่องกระดาษสำหรับแยกเซตของเมล็ดพืช
             3. ภาชนะสำหรับใส่เมล็ดพืช (อาจจะใช้ถ้วยพลาสติก ชาม กระทง หรือขันก็ได้)

กิจกรรม

             1. จัดเมล็ดพืชทุกประเภทที่สามารถหามาได้โดยผสมกันแล้วแบ่งใส่ภาชนะเพื่อ
แจกให้กับเด็กทุกคนโดยครูยังไม่ต้องให้คำแนะนำใด ๆ ทั้งนั้น ปล่อยให้เด็กเล่นกับเมล็ดพืชตามลำพัง
             2. หลังจากนั้นสักครูหนึ่งบอกให้เด็กแยกประเภทของเมล็ด ขณะที่เด็กทำกิจกรรมอยู่ครูเดินดูรอบ ๆ และอภิปรายกับเด็กแต่ละคนว่าแยกประเภทของเมล็ดพืชได้อย่างไร หรือเพราะเหตุใดเขาจึงแยกในลักษณะนั้น
             3. ส่งเสริมให้เด็กแยกประเภทของเมล็ดพืชในลักษณะใหม่ที่ไม่ให้ซ้ำกับแบบเดิมที่เขาได้ทำไว้ครั้งแรก โดยถูกต้อง ไม่แนะนำใด ๆ ทั้งสิ้น
             4. อภิปรายเกี่ยกวับวิธีการที่เด็กแต่ละคนแยกประเภท โดยอาจจะให้เด็กเดินดูของ เพื่อนคนอื่น ๆ ว่าเขาทำกันอย่างไร หลังจากนั้นครูควรตั้งคำถามเด็กว่า
“ทำไมจึงใส่เมล็ดพืชเหล่านั้นรวมอยู่ในกองเดียวกัน”
“ นักเรียนว่ามีวิธีการอื่นอีกไหมที่จะจัดเมล็ดพืชมาอยู่กองเดียวกัน”
“นักเรียนสามารถจะเอาเมล็ดพืชที่ครูแจกให้นั้นมาแยกเป็น 2 กลุ่มได้ไหม”

ข้อเสนอแนะ

             1. กิจกรรมนี้จะได้ผลดีควรจะต้องหาเมล็ดพืชหลายประเภทและหลายขนาด
             2. เมล็ดพืชนี้ครูอาจให้เด็กช่วยกันนำมาและสะสมไว้ เพราะอาจจะเก็บไว้ใช้ได้อีก ในหลาย ๆ กิจกรรม
ทักษะการวัด
             การวัด (Measurement) หมายถึง การใช้เครื่องมือต่าง ๆ วัดหาปริมาณของสิ่งที่เราต้องการทราบได้อย่างถูกต้อง โดยมีหน่วยการวัดกำกับอยู่เสมอ
ทิพย์วัล สีจันทร์ (2531 :19) กล่าวถึงการใช้คำถามเพื่อฝึกฝนให้ผู้วัดหาคำตอบและกระทำตาม คือ
             1. จะวัดอะไร คำถามนี้จะทำให้ผู้วัดได้รู้จักกับสิ่งของที่จะวัด รู้จักธรรมชาติของสิ่งนั้น เช่น วัดความกว้าง ยาว สูง ของแท่งไม้ วัดปริมาตรของน้ำหรือของเหลวอื่น ๆ วัดอุณหภูมิ วัดน้ำหนัก
             2. จะวัดทำไม คำถามนี้ช่วยให้เราทราบความมุ่งหมายที่จะวัดว่า ต้องการทราบอะไร เช่น ความยาว ปริมาตร น้ำหนัก ความแข็ง อุณหภูมิ ฯลฯ และต้องการความละเอียดมากน้อยเพียงใด
             3. จะวัดด้วยอะไร คำถามนี้ต้องการทราบถึงการเลือกเครื่องมือที่นำมาใช้วัด เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพของสิ่งของที่จะวัดและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่จะวัดด้วย
             4. จะวัดอย่างไร คำถามนี้ถามถึงวิธีการที่เราจะวัด เช่น วัดโดยการนับจำนวนและนับโดยใช้ลำดับที่ เช่น ที่หนึ่ง ที่สอง ต่อไป สุดท้าย คู่ วัดโดยการตวง วัดโดยการชั่ง วัดโดยการเปรียบเทียบ เป็นต้น
ส่วนด้านการวัดนั้น สำนึก โรจนพนัส (2528 : 29) ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับการวัดของเด็กอนุบาลว่า เป็นเพียงพื้นฐานเบื้องต้นของการวัด เช่น การกะปริมาณ กิจกรรมใดก็ตามที่จะให้เด็กชี้หรือบอกว่าสิ่งที่เขาสัมผัสอยู่นั้น หนัก เบา ใหญ่ เล็ก ฯลฯ ล้วนเป็นการเตรียมความพร้อมทางการวัดทั้งสิ้น
ในด้านปริมาณ ประภาพรรณ สุวรรณศุข (2527 : 376) ได้อธิบายถึงการให้เด็กปฐมวัยบอกปริมาณของวัตถุต่าง ๆ ว่า ควรจะมุ่งในเรื่องของปริมาณที่สามารถมองเห็นได้ชัดและเป็นหน่วยใหญ่ ๆ ไม่ควรสนใจในเรื่องหน่วยย่อย เช่น การเปรียบเทียบโต๊ะ 2 ตัว ว่าตัวใดยาวกว่า ครูอาจแนะนำให้เด็กสังเกตด้วยสายตา อาจจะใช้สายวัดมาวัดดู อาจจะทำเครื่องหมายบนสายวัดเอาไว้ เด็กก็จะสามารถมองเห็นความแตกต่างกันได้ แต่ครูไม่ควรบอกเด็กว่าโต๊ะตัวแรกยาว 12 นิ้ว
1 เซนติเมตร โต๊ะตัวที่สองยาว 11 นิ้ว โต๊ะตัวไหนยาวกว่ากัน การบอกความยาวเป็นเช่นนี้ เด็กจะยังไม่สามารถเข้าใจเกี่ยวกับมาตราได้ดี เด็กก็จะตอบคำถามไม่ได้ ซึ่งอาจจะมีผลทำให้เด็กไม่สนใจเรียน และการให้เด็กแสดงปริมาณของวัตถุ ไม่ควรใช้การสังเกคด้วยสายตาเพียงอย่างเดียว ควรให้เด็กได้ใช้วิธีต่าง ๆ ให้มากที่สุด

ตัวอย่างการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมทักษะการวัด
- ตัวอย่างการวัดอย่างง่าย ได้แก่ วัดโต๊ะเรียนสูงกี่คืบ กระดานดำยาวกี่ศอก น้ำมี
ปริมาตรกี่ปี๊บ ระยะเวลาเรียนหนังสือนานเพียงไร (อาจตอบว่าตั้งแต่หลังเคารพธงชาติ จนถึงเวลาอาหารกลางวันหรือพระอาทิตย์ตรงศรีษะ)
ทักษะการสื่อความหมาย
             การสื่อความหมาย (Cummunication) หมายถึง การพูด การเขียน รูปภาพ และภาษาท่าทาง การแสดงสีหน้า ความสามารถรับข้อมูลได้อย่างถูกต้องและชัดเจน ตลอดจนการแสดงออกทางอารมณ์และความรู้สึก ก็จัดว่าเป็นการสื่อความหมายด้วย
ลักษณะที่จะบอกได้ว่า การสื่อความหมายได้ดีหรือไม่ จะต้องเป็นดังนี้
             1. บรรยายลักษณะคุณสมบัติของวัตถุโดยให้รายละเอียดที่ผู้อื่นสามารถวิเคราะห์ได้
             2. บันทึกการเปลี่ยนแปลงของวัตถุได้
             3. บอกความสัมพันธ์ของข้อมูลที่ได้จัดกระทำแล้ว
             4. จัดกระทำข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ ให้สามารถเข้าใจได้ดียิ่งขึ้น เช่น วาดภาพ ทำกราฟ เป็นต้น
การที่จะฝึกเด็กให้มีทักษะในการสื่อความหมายที่ดีได้นั้น เด็กจะต้องรู้คำศัพท์ หรือความหมายของคำเป็นอย่างดี อีกทั้งจะต้องมีประสบการณ์ในการสื่อความหมายที่ถูกวิธีด้วย การพัฒนาทางด้านภาษา และความพร้อมในการอ่าน จะช่วยทำให้มีความสามารถในการสื่อความหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นการที่เราจะให้เด็กสามารถสื่อความหมายกับผู้อื่นได้ดี จึงควรที่จะจัดประสบการณ์ด้านนี้ให้แก่เด็กตั้งแต่วัยปฐมวัย ซึ่งครูจะต้องกระตุ้นให้เด็กเป็นผู้อธิบายสิ่งต่าง ๆ ที่เขาได้ค้นพบให้มากที่สุด ถ้ามีเด็กที่ไม่ชอบพูดครูอาจจะต้องใช้เทคนิคในการตั้งคำถาม และหากเด็กบรรยายสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ไม่ถูกต้อง ครูควรแก้ไขทันที

ตัวอย่างการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมทักษะการสื่อความหมาย
วัสดุบางอย่างสามารถลอยน้ำ
กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่ให้เด็กเรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุที่ลอยน้ำได้
แนวคิด
วัตถุบางอย่างสามารถลอยน้ำได้

วัตถุประสงค์

หลังจากทำกิจกรรมนี้เสร็จแล้วเด็กสามารถ
             1. ชี้บ่งวัตถุที่สามารถลอยน้ำได้
             2. อธิบายสาเหตุที่วัตถุลอยน้ำได้
             3. อธิบายสาเหตุที่ทำให้วัตถุจมน้ำ

วัสดุอุปกรณ์

กระดาษ ใบตอง กาบมะพร้าว ดินน้ำมัน เปลือกไม้ ตะปู ก้อนหิน ดินน้ำมัน อะลูมิเนียมฟอย (ถ้ามี) อ่างน้ำ น้ำ

กิจกรรม

             1. แบ่งเด็กนักเรียนออกเป็นกลุ่มย่อย กลุ่มละประมาณ 4-5 คน
             2. แจกวัสดุทั้งหมด (ยกเว้นอ่างน้ำ และน้ำ) ที่กล่าวข้างต้นให้แก่เด็กทุกกลุ่ม
             3. บอกให้เด็กสร้างเรือคนละประเภทจากกระดาษ ใบตอง กาบมะพร้าว ดินน้ำมัน เปลือกไม่ อะลูมิเนียมฟอย ครูควรกระตุ้นให้เด็กทำเรือที่มีรูปร่างต่าง ๆ กัน เช่น ทำเป็นเรือใบ เรือแจว เรือเปลือกไม้ ฯลฯ
             4. ให้เด็กนำเอาเรือที่ได้ทำเสร็จแล้วไปลอยในอ่างน้ำที่มีน้ำอยู่และให้เด็กสังเกตเรือของตนเองว่าลอยน้ำได้หรือไม่ หลังจากนั้นครูอาจแนะนำให้เด็กเอาก้อนหินหรือตะปู หรือดินน้ำมันค่อย ๆ ใส่ลงไปบนเรือทีละอันหรือทีละก้อน และสังเกตดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นถ้าเรือลำใดยังไม่จมน้ำครูอาจเสนอแนะให้เด็กเครื่องล่วงใส่ลงไปอีกจนกว่าเรือจะจม
             5. ครูอภิปรายกับเด็กโดยตั้งคำถามดังนี้
“เรือที่เขาทำนั้นมีรูปร่างเป็นอย่างไร”
“เรือของใครบ้างที่ลอยน้ำ เพราะอะไร”
“เรือของใครบ้างที่จมน้ำ เพราะอะไร”
“เรือรูปร่างอย่างไรที่แล่นได้เร็ว”
ข้อเสนอแนะ
             1. กิจกรรมนี้ควรให้เด็กเล่นนอกห้อง และควรจัดหาอ่างน้ำให้เท่ากับจำนวนกลุ่ม
             2. ก่อนทำกิจกรรมนี้ครูควรฝึกให้เด็กพับเรือให้เป็นรูปต่าง ๆ ให้ได้ก่อนจะได้ไม่ เสียเวลามาก และเด็กสามารถเห็นความแตกต่างของเรือประเภทต่าง ๆ
ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล
             การลงความเห็นจากข้อมูล (Inferring) หมายถึง การเพิ่มเติมความคิดเห็นให้กับข้อมูลที่มีอยู่อย่างมีเหตุผล โดยอาศัยความรู้หรือประสบการณ์เดิมมาช่วย ข้อมูลนี้อาจได้จากการสังเกต การวัดหรือการทดลอง การลงความเห็นจากข้อมูลต่างกับการทำนายในแง่ที่ว่า การลงความเห็นจากข้อมูลไม่บอกเหตุการณ์ในอนาคต เป็นเพียงแต่อธิบายความหมายจากข้อมูล โดยอาศัยความรู้และประสบการณ์เดิมมาช่วย
การลงความเห็นจากข้อมูล เป็นการอธิบายข้อมูลที่ได้จากการสังเกตอย่างมีเหตุผล โดยอาศัยความรู้หรือประสบการณ์เดิมมาช่วย มีลักษณะดังนี้
             1. ลงข้อสรุปเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ แต่ละอย่าง
การลงข้อสรุปเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ แต่ละอย่างที่สังเกตได้โดยมีข้อมูลไม่เพียงพอ เช่น เห็นสารสีขาวก็บอกว่าเป็นเกลือ โดยยังไม่ได้สังเกตคุณสมบัติเฉพาะอื่น ๆ ของสิ่งนั้นให้เพียงพอ เช่น ยังไม่ได้สังเกตการละลาย รส เป็นต้น
             2. ลงข้อสรุปเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ หรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ
อธิบายข้อมูลที่ได้จากการสังเกต โดยอาศัยความรู้หรือประสบการณ์เดิม เช่น เห็นต้นกุหลาบเหี่ยว ใบเป็นรูพรุน ก็บอกว่าเพราะหนอนกิน ทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงว่าคืออะไร แต่อาศัยที่คนอื่นเคยบอกหรือเคยเห็นหนอนกินกุหลาบบ้านอื่น (ซึ่งถ้าต้องการจะรู้ว่ากุหลาบถูกหนอนกินจริงหรือไม่ก็ต้องสังเกตดูว่า บริเวณนั้นมีหนอนหรือไม่ ถ้าไม่พบแต่ยังสงสัยอยู่ว่า หนอนจะเป็นสาเหตุก็ลองตั้งสมมติฐานว่า “หนอนเป็นสาเหตุให้กุหลาบชนิดนี้ตายหรือไม่”)
ลัดดาวัลย์ กัณหสุวรรณ (2530 : 6-8) ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับทักษะการลงความเห็นไว้ว่า ผู้ที่ลงความเห็นจะใช้ผลของการสังเกต และใช้ประสบการณ์ที่ผ่านมาเป็นข้อสรุปลงความเห็น ซึ่งอาจจะดีกว่าการเดาเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีใครทราบว่าผิดหรือถูก
หลายคนมีความเห็นว่า การลงความเห็นไม่น่าจะยกขึ้นมากล่าวในเรื่องของทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ แต่ทว่าการลงความเห็นนั้นเป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ เรามักจะทำกันเสมอ ในชีวิตประจำวัน เช่น เมื่อสังเกตเห็นน้ำเปียกบนถนนก็คิดว่าฝนคงจะตกลงมากระมัง นอกจากนี้ยังมีการลงความเห็นในปรากฏการณ์อื่น ๆ อยู่เสมอ ดังนั้น นักวิทยาศาสตร์จึงได้หาวิธีการที่จะช่วยให้สามารถลงความเห็นได้ใกล้เคียงความจริงที่สุด
สำหรับทักษะในการลงความเห็นนั้น มิใช่ว่าครูจะมุ่งแต่การฝึกให้นักเรียนลงความเห็นอย่างเดียว แต่จะต้องพยายามให้เด็กเรียนวิเคราะห์ให้ได้ว่า อะไรคือผลของการสังเกต และอะไรเป็นสิ่งที่เราพูดเอาเอง หรือสรุปลงความเห็นเอาเอง ซึ่งมิใช่ผลของการสังเกต และให้เน้นว่าเมื่อสังเกตอะไรแล้ว อย่ารีบด่วนสรุปลงความเห็น เพราะว่าไม่มีอะไรยืนยันว่า ข้อสรุปลงความเห็นนั้นผิดหรือถูก ควรเน้นว่า ข้อมูลใด ๆ ที่ได้มาจากการลงความเห็นแต่เพียงอย่างเดียวจะถือเป็นข้อยุติไม่ได้
ตัวอย่างการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล
ครู - นักเรียนดูสิ่งที่ครูถืออยู่นี้แล้วบอกซิว่า สังเกตอะไรได้บ้าง
นักเรียน - เห็นกล่องกลม ๆ สีดำ ฝาสีแดง
ครู - นักเรียนลองมาจับกล่องใบนี้ เขย่าดูซิว่าเป็นอย่างไร
นักเรียน - เขย่าแล้วมีเสียงดัง
ครู - แล้วยังไงอีก
นักเรียน - มีวัตถุรูปร่างแบน ๆ อยู่ในกล่อง
กิจกรรมนี้จะเห็นได้ว่า นักเรียนสังเกตได้แต่เพียงกล่องสีดำ ฝาสีแดง เขย่าแล้วมี เสียงดัง ส่วนที่บอกว่า วัตถุที่อยู่ข้างในรูปร่างแบน ๆ นั้น เขาสังเกตไม่ได้ เขาเพียงได้ยิน เสียงเท่านั้น แล้วลงความเห็นเลยว่า รูปร่างเป็นอย่างไร ซึ่งที่บอกมานั้นอาจผิดหรือถูกก็ได้ จากตัวอย่างนี้คงจะช่วยให้เข้าใจถึงทักษะการลงความเห็นได้บ้าง สำหรับทักษะในการลง ความเห็นนั้นควรจะนับเป็นก้าวหนึ่งที่ก่อให้เกิดความอยากรู้อยากเห็น แต่ครูจะต้องไม่ลืม กระตุ้นให้นักเรียนหาข้อมูลเพิ่มเติมอีก
ทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปส และสเปสกับเวลา
             สเปส หรือมิติ (Space) ของวัตถุใด ๆ หมายถึง ที่ว่างที่วัตถุนั้นครองที่ ซึ่งจะมีรูปร่างเหมือนวัตถุนั้น เช่น สเปสของแผ่นกระดาษรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าก็คือ เนื้อที่ซึ่งกระดาษแผ่นนี้ทับอยู่ ซึ่งจะมีรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าเท่ากับแผ่นที่ทับอยู่ สเปสอาจมี 2 มิติ คือ กว้างและยาว หรืออาจมี 3 มิติ คือ กว้าง ยาว และสูง ก็ได้ การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปสสำหรับเด็ก
ปฐมวัยอาจได้แก่ การรู้จักเรียนรู้ 1 มิติ 2 มิติ 3 มิติ การเขียนภาพ 2 มิติแทนรูป 3 มิติ การบอกทิศทาง การบอกเงาที่เกิดจากภาพ 3 มิติ การเห็นและเข้าใจภาพที่เกิดบนกระจกเงา การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับเวลาสำหรับเด็กปฐมวัย อาจได้แก่ การหาความสัมพันธ์ของวัตถุกับเวลาที่ใช้ไป เช่น การข้ามถนน การกะระยะมิติของรถที่กำลังแล่นมากับมิติ หรือสเปสของตัวเองที่จะข้ามถนน การเจริญเติบโตของถั่วงอกกับเวลาที่ใช้ไป เป็นต้น
ทักษะในการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปส คือ ความสามารถในการทำกิจกรรมต่อไปนี้ได้
             1. ชี้บ่งภาพ 2 มิติ และ 3 มิติ เช่น เมื่อนำภาพหรือวัตถุรูปร่างต่าง ๆ แผ่นกระดาษสี่เหลี่ยม แผ่นกลม แผ่นสามเหลี่ยม ลูกแก้ว ลูกเต๋า กล่องชอล์ก เหล่านี้เป็นต้น นักเรียนสามารถชี้บ่งได้ว่า สิ่งใดมี 2 มิติ และสิ่งใดมี 3 มิติ
             2. บอกความสัมพันธ์ระหว่างทิศทางของวัตถุหรือสถานที่ต่าง ๆ เช่น เมื่อนักเรียนดูแผนผังของสวนสัตว์ดุสิตแล้ว นักเรียนสามารถบอกได้ว่า ถ้าเรายืนอยู่ตรงประตูด้านทิศตะวันตกของสวนสัตว์ และต้องการจะไปดูยีราฟจะต้องเดินทางไปทางซ้ายหรือทางขวาของตำแหน่งที่ยืนอยู่
             3. บอกตำแหน่งหรือทิศทางของวัตถุหรือสถานที่ต่าง ๆ เช่น เมื่อนักเรียนดูแผนผังของสวนสัตว์ดุสิต ตรงทางเข้าประตูสวนสัตว์ด้านหนึ่ง นักเรียนสามารถบอกได้ว่า ขณะนี้นักเรียนยืนอยู่ตำแหน่งใดในแผนผังนั้น
             4. บอกตำแหน่งซ้ายหรือขวาของภาพที่เกิดจากการวางวัตถุไว้หน้ากระจกเงา เช่น ถ้านักเรียนผูกผ้ากับข้อมือข้างขวาไว้ แล้วไปยืนหน้ากระจกเงา นักเรียนสามารถบอกได้ว่าภาพของนักเรียนในกระจกเงานั้นมีผ้าผูกข้อมือข้างใดไว้ เป็นต้น
ทักษะในการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับเวลา คือ ความสามารถในการบอกความสัมพันธ์ระหว่างระยะทางกับเวลาที่วัตถุนั้นเคลื่อนที่ และการบอกความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงขนาดหรือปริมาณของสารกับเวลา

ตัวอย่างการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปส และสเปสกับเวลา
การสังเกตเงา

วัตถุประสงค์

เพื่อให้เด็กสามารถบอกชื่อวัตถุจากการสังเกตเงา และเปรียบเทียบเงาที่ได้เห็นกับวัตถุของจริงได้

วัสดุอุปกรณ์

             1. ฉาก (อาจจะใช้กระดาษขาว กล่องกระดาษหรือผ้า)
             2. วัตถุหลาย ๆ ประเภทนี้มองเห็นได้ชัดเจน แลมีรูปร่างที่เด่นชัดเมื่อเด็กมองเห็น สามารถจะตอบได้ว่าเป็นอะไร เช่น ขวด แก้ว ช้อน ส้อม รูปดาว ดอกไม้ เป็นต้น วัสดุนี้อาจจะใช้ของจริงหรือของจำลองก็ได้
             3. รูปภาพ หรือภาพร่าง ของวัตถุต่าง ๆ ที่นำมาใช้ทุกชนิด

กิจกรรม

             1. จัดตั้งฉาก อาจจะเอาออกไปจัดทำกลางแจ้งเพื่อให้แสงแดดส่องวัตถุทำให้เกิดเงาบนฉาก หรืออาจจะทำในห้องโดยใช้แสงไฟ ฉายไปที่วัตถุก็ได้
             2. ถือวัตถุไว้หลังฉากโดยทำเป็นมุมปกติ และถือวัตถุตามแนวตั้งให้เด็กที่นั่งข้าง หน้าฉากตอบว่าเป็นวัตถุอะไร และทำไมเขาคิดว่าเป็นวัตถุประเภทนั้น
             3. ให้เด็กจับคู่รูปภาพของวัตถุให้สอดคล้องกับเงาที่เขาได้สังเกตไว้ ครูควรจะปิดรูปภาพไว้ก่อน หลังจากดูเงาที่ฉากแล้วจึงเปิดรูปภาพให้เด็กดูและให้เขาเลือกจับคู่ มิฉะนั้นแล้วเด็กจะสนใจกับรูปภาพโดยไม่ได้ตั้งใจดูเงาที่ฉาก
             4. ถามเด็กว่าเขาใช้ประสาทส่วนใดในการสังเกต

ข้อเสนอแนะ

             1. ควรให้เด็กได้เล่นกับเงาที่ฉาก และให้เด็กแต่ละคนได้เป็นผู้ทำกิจกรรมนี้โดยผลัดกันออกมาถือวัตถุไว้หลังฉาก
             2. วัสดุที่นำมาให้เด็กเล่นควรมีความหลากหลายเด็กจะได้ไม่เบื่อ
             3. เมื่อเด็กคุ้นเคยกับกิจกรรมที่ใช้วัตถุแล้ว อาจให้เด็กใช้มือแสดงเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ และให้เพื่อนทายว่าเป็นสัตว์ประเภทใด ซึ่งกิจกรรมนี้ครูจะต้องฝึกเด็กดูก่อน
ทักษะการคำนวณ
             การคำนวณ หมายความถึงความสามารถในการนับจำนวนของวัตถุ การบวก ลบ คูณ หาร การหาค่าเฉลี่ยต่าง ๆ และการคำนวณที่ซับซ้อนเช่น การคำนวณหาปริมาณต่าง ๆ และรวมไปถึงการคำนวณโดยใช้สูตรตั้งแต่ง่าย ๆ ไปจนถึงขั้นซับซ้อนขึ้นตามลำดับ
ทักษะการคำนวณที่ควรส่งเสริมให้แก่เด็กปฐมวัย ได้แก่ การนับจำนวนของวัตถุ การนำจำนวนตัวเลขมากำหนด หรือบอกลักษณะต่าง ๆ เช่น ความกว้าง ความยาว ความสูง พื้นที่ ปริมาตร น้ำหนัก
คณิตศาสตร์เป็นเครื่องมือที่จำเป็นยิ่งสำหรับวิทยาศาสตร์ เพราะในการทดลองหรือค้นคว้าหาความรู้ต่าง ๆ นั้น ต้องใช้ตัวเลขในการคำนวณค่าต่าง ๆ ซึ่งเป็นผลมาจากการทดลอง ดังนั้น
กิจกรรมวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย จะต้องใช้กระบวนการทางคณิตศาสตร์ในเรื่องของตัวเลข จำนวนบวก จำนวนลบ เลขเต็มหน่วย เซตทางคณิตศาสตร์
ตัวอย่างการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมทักษะการคำนวณ
- ครูจัดหาวัตถุสิ่งของมาให้เด็กได้นับจำนวน เช่น มีก้อนหิน 10 ก้อน เป็นต้น
- ครูให้เด็กศึกษาการเจริญเติบโตของต้นไม้ โดยให้เด็กปลูกและดูแลต้นไม้เอง ตั้งแต่การเพาะเมล็ด และให้เด็กทำการวัดแต่ละสัปดาห์ต้นไม้สูงขึ้นเท่าไร แล้วบันทึกความสูงไว้เป็นจำนวนตัวเลข (ก่อนทำกิจกรรมนี้ครูควรแน่ใจใจว่า เด็กมีความรู้พื้นฐานเรื่องการวัด)
บทสรุป
             จากที่กล่าวมาแล้วสรุปได้ว่า การกระตุ้นให้เด็กปฐมวัยได้พัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์นั้น ควรจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ให้เด็กได้ลงมือกระทำด้วยตนเอง ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็นกระบวนการขั้นพื้นฐาน หรือทักษะเบื้องต้นที่ควรส่งเสริมให้เด็กปฐมวัยได้รับการพัฒนา มี 7 กระบวนการ ดังนี้ คือ ทักษะการสังเกต ทักษะการจำแนกประเภท ทักษะการวัด ทักษะการสื่อความหมาย ทักษะการลงความเห็น ทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างมิติกับเวลา และทักษะการคำนวณ

วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เทคนิควิธีจัดการกับ “เด็กดื้อ”

เทคนิควิธีจัดการกับ “เด็กดื้อ”
ข้อควรปฏิบัติเวลาจะบอกให้เด็กทำอะไร

1.  เรียกให้เด็กสนใจฟังคุณ และหันมามองคุณก่อนจะบอกให้เด็กทำอะไร เช่น ต้อม...มองหน้าแม่ ซิ...
      แม่จะบอกอะไรหน่อยครับ
                2.    ชมเด็กทันทีที่เด็กหันมาให้ความสนใจที่คุณ ดีมากครับ...ที่หันมามองแม่
                3.   ให้ใช้คำพูดที่ง่าย สั้น และชัดเจนทีละคำสั่ง เช่น เอาล่ะ...ช่วยเอาผ้านี่ไปใส่ตะกร้าให้แม่ทีครับ

สิ่งที่ควรระลึกไว้
1.        สิ่งที่คุณต้องการให้เด็กทำต้องเป็นสิ่งที่เด็กทำได้ อย่าสั่งหรือคาดหวังให้เด็กทำในสิ่งที่เกินความสามารถของเด็ก
2.        บอกให้เด็กทำงานทีละชิ้นเพียงครั้งเดียว ให้เวลา 5 วินาที สำหรับเด็กในการทำตามที่คุณบอก อย่าพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกเป็นครั้งที่ 2 หรือ 3
3.        หลีกเลี่ยงการบอกให้เด็กทำงานชิ้นที่ 2 ในขณะที่เขากำลังทำงานชิ้นแรกอยู่
4.        ถ้าคุณยังไม่พร้อมที่จะเด็ดขาด เอาจริงกับเด็กเวลาเด็กต่อต้านคุณ คุณก็ยังไม่พร้อมที่จะบอกให้เด็กทำอะไร

เมื่อเด็กเชื่อฟัง ทำตามที่คุณบอก ควรปฏิบัติดังนี้
1.        ให้คำชมทันทีที่เด็กเริ่มทำตามที่คุณบอก ดีมากครับ...ที่น้องโจลุกมาเก็บของเล่นทันทีที่แม่เรียก...
        แม่พอใจมากเลย
2.        ให้คำชมอีกครั้งเมื่อเด็กทำงานที่คุณสั่งสำเร็จ เยี่ยมจริงๆ...แม่เห็นเลยว่าหนูตั้งใจล้างจานพวกนี้จนสะอาด...เก่งมากคะ
3.        อย่าลืมภาษากาย!!...แสดงความชื่นชมโดยการหอม กอด ลูบหัว ฯลฯ
                        หากเด็กไม่ทำตามสั่งภายใน 5 วินาที ทำอย่างไร
1.        เริ่มนับ 1...2...3 (ต้องมีการคุยกับเด็กเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า หากนับถึง  3  แล้วเด็กยังไม่ทำตามที่
         คุณบอกจะเกิดอะไรตามมา)
2.        หากนับถึง 3 แล้วเด็กยังไม่ทำตามที่คุณบอก ต้องเอาจริง เด็ดขาดในการลงโทษตามกฎที่ตกลงกันไว้ เช่น ริบของเล่น หักค่าขนม ปิดทีวี ปิดเกม ตัดสิทธิในที่เด็กชอบ ฯลฯ อย่าดีแต่บ่น...ขู่ หรือใจอ่อน
3.        เพิกเฉยหากเด็กทำท่าทางไม่เหมาะสม เพื่อเรียกร้องความสนใจ หรือแสดงความหงุดหงิดไม่พอใจ เช่น บ่น งอน ปึงปัง โวยวาย ฯลฯ

 เด็กที่ดื้ออาจเชื่อฟังมากขึ้น เมื่อคุณพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ นุ่มนวล ไม่ใช้อารมณ์ ให้โอกาสเด็กได้เลือกสิ่งที่คุณต้องการให้ทำ (แต่สิ่งที่คุณกำหนดต้องเป็นสิ่งที่คุณยอมรับได้) เช่น หากคุณต้องการให้เด็กอาบน้ำและแปรงฟัน คุณอาจจะพูดกับเด็กว่า โอ๋...ได้เวลาอาบน้ำ แปรงฟันแล้วครับ...แม่ให้เลือกเอาว่าโอ๋จะอาบน้ำก่อน หรือแปรงฟันก่อนดีครับ หากเด็กไม่ยอมเลือกอะไรเลย เตือนเด็กอีกครั้งว่าบทลงโทษของเราสำหรับเด็กที่ไม่เชื่อฟัง คืออะไรโดยใช้คำพูดทำนองนี้ แม่ก็จำเป็นต้องทำตามกฎที่เราคุยกันไว้.............

ที่มา: สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี

Nobody : เด็กอนุบาลเต้น

สดๆ สุดๆ กำลังใจให้นักสู้

วันอาทิตย์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2553

การเล่านิทานสำหรับเด็กปฐมวัย


          การเล่านิทานสำหรับเด็กปฐมวัย    
                นายแพทย์บวร งามศิริอุดม ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย กล่าวไว้ว่า" เชื่อว่าคุณแม่คุณพ่อแทบทุกคนในปัจจุบัน ต้องรู้จักนักวิทยาศาสตร์ชื่อก้องโลกที่ชื่อว่า ไอน์ส-ไตน์ ไอน์สไตน์ มีความฉลาดทางปัญญา ( IQ) ประมาณ 180 ขณะที่คนทั่วไปมีไอคิวประมาณ 90-110 เท่านั้น เขาได้ให้ข้อคิดที่สำคัญไว้ว่า ถ้าอยากจะให้ลูกฉลาด คุณแม่คุณพ่อควรจะเล่า นิทานให้ลูกฟังเป็นประจำ และถ้าจะให้ลูกฉลาดมากยิ่งขึ้น ทำอย่างไรรู้ไหมครับ ไอน์สไตน์บอกว่า ต้องเล่า นิ ทานให้ลูกฟังหลายๆ เรื่อง คิดว่าคนที่ฉลาดเช่นนี้ พูดไว้แบบนี้ เราคงต้องเชื่อว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ "
          นิทานคือ โลกของภาษา ภาพและหนังสือที่ปรากฏบนหนังสือนิทาน คือโลกของภาษา การอ่านหนังสือให้ลูกฟังจึงมีความสำคัญมาก ต่อการพัฒนาของเด็ก เปรียบเหมือนอาหารมื้อหนึ่งของวัน เพราะเป็นอาหารสมองและอาหารใจของลูก พ่อแม่ทุกคนอยากให้เด็กรักการอ่านหนังสือ และเรียนเก่ง การทำให้เด็กรักการอ่านหนังสือไม่ยากเพราะเด็ก มีความอยากรู้อยากเห็น ชอบสนุกสนาน ถ้าได้หนังสือที่ชอบและยากอ่าน
         นิทานสำหรับเด็กปฐมวัยควรเป็นหนังสือภาพสำหรับเด็ก ซึ่งหมายถึงหนังสือที่พ่อแม่อ่านให้เด็กฟัง ไม่ใช่หนังสือสำหรับเด็กอ่าน การเล่านิทานให้ลูกฟังด้วยเสียงตนเอง ใช้ภาษาที่ดี เวลาเล่า ความรู้สึกของผู้เล่าจะผ่านไปสู่ตัวลูกด้วย ถ้าผู้เล่านิทานรู้สึกตื่นเต้น ลูกก็จะรู้สึกตื่นเต้นไปด้วย ความรู้สึกร่วมกันระหว่างพ่อแม่และเด็กระหว่างการเล่านิทาน จึงเปรียบเสมือนสายใยผูกพันระหว่างพ่อแม่ลูก การเล่านิทานแม้เพียง 5 - 10 นาทีต่อเล่ม แต่ผลที่มีต่อลูกและความสุขในครอบครัวนั้นมหาศาล ลูกจะได้รับการพัฒนาทักษะการฟังและการพูด สร้างจินตนาการแก่เด็ก ฝึกสมาธิให้เด็กรู้จักสำรวจจให้จดจ่ออยู่กับเรื่องที่ฟัง ซึ่งเป็นพื้นฐานการเตรียมความพร้อม ด้านการอ่านหนังสือ และปลูกฝังนิสัยรักการอ่านให้แก่เด็กไปพร้อมกัน
           นิทานสำหรับเด็กปฐมวัย
       ความเหมาะสมของนิทานสำหรับเด็กปฐมวัยจำเป็นต้องคำนึงถึงความสนใจ การรับรู้และความสามารถตามวัยของเด็ก เป็นสำคัญ จึงยังเกิดประโยชน์ที่แท้จริงต่อการเรียนรู้ของเด็ก เด็กจะเริ่มรับรู้นิทาน จากภาพที่มองเห็นและเสียงที่ได้ยิน โดยรู้ความหมายไปทีละเล็กทีละน้อย จนสามารถเชื่อมโยงภาพ และคำบอกเล่าที่ได้ยิน ตลอดจนจดจำเนื้อหาและเรื่องราวต่างๆ ที่นำไปสู่การอ่านตัวหนังสือได้อย่างมีความหมายต่อไป




         เด็กอายุ 0 - 1 ป
               นิทานที่เหมาะสมในวัยนี้ ควรเป็นหนังสือภาพที่เป็นภาพเหมือนรูปสัตว์ ผัก ผลไม้ สิ่งของในชีวิตประจำวัน และเขียนเหมือนภาพของจริง มีสีสวยงาม ขนาดใหญ่ชัดเจน เป็นภาพเดี่ยวๆที่มีชีวิตชีวา ไม่ควรมีภาพหลัง หรือส่วนประกอบภาพที่รกรุงรัง รูปเล่มอาจทำด้วยผ้าหรือพลาสติก หนานุ่มให้เด็กหยิบเล่นได้
                เวลาเด็กดูหนังสือภาพ พ่อแม่ควรชี้ชวนให้ดูด้วยความรัก เด็กจะตอบสนองความรักของพ่อแม่ด้วยการแสดงความพอใจ ความสัมพันธ์ระหว่างเด็กและหนังสือภาพจึงส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูกด้วย
               เด็กอายุ 2 - 3 ป
              เด็กแต่ละคนจะเริ่มชอบต่างกัน แล้วแต่สภาพแวดล้อมที่ถูกเลี้ยงดู การเลือกหนังสือนิทานที่เหมาะกับเด็กวัยนี้ ควรเป็นหนังสือนิทาน หรือหนังสือภาพที่เด็กสนใจ ไม่ควรบังคับให้เด็กดูแต่หนังสือที่พ่อแม่ต้องการให้อ่าน หนังสือที่เหมาะสม ควรเป็นภาพเกี่ยวกับชีวิตประจำวัน สัตว์ สิ่งของ    เด็กเล็กในช่วงนี้ มีประสาทสัมผัสทางหูดีมาก หากมีประสบการณ์ด้านภาษา และเสียงที่ดีในวัยนี้ เด็กจะสามารถพัฒนาศักยภาพด้านภาษาและดนตรีได้ดี โดยเฉพาะช่วงอายุ 2 - 4 ปี เด็กมีความสนใจเสียงและภาษาที่มีจังหวะ เด็กบางคนจำหนังสือที่ชอบได้ทั้งเล่ม จำได้ทุกหน้า ทุกตัวอักษร เหมือนอ่านหนังสือออก เด็กอายุ 3 ปี มีจินตนาการสร้างสรรค์ อยากรู้อยากเห็น เข้าใจเรื่องเล่าง่ายๆ ชอบเรื่องซ้ำไปซ้ำมา ดังนั้น หากเด็กมีประสบการณ์ที่ดีในช่วงเวลานี้ จะเป็นพื้นฐานในการสร้างนิสัยรักการอ่าน ของเด็กในอนาคต
                                                เด็กอายุ 4 - 5 ปี
                เด็กวัยนี้มีจินตนาการสร้างสรรค์ อยากรู้อยากเห็นสิ่งรอบตัวเกี่ยวกับธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมว่าสิ่งนี้มาจากไหน ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ เริ่มเข้าใจความแตกต่างระหว่างความจริงกับเรื่องสมมุติ นิทานที่เหมาะสมกับเด็กวัยนี้ควรเป็นนิทานที่เป็นเรื่องที่ยาวขึ้น แต่เข้าใจง่าย ส่งเสริมจินตนาการ และอิงความจริงอยู่บ้าง เนื้อเรื่องสนุกสนานน่าติดตาม มีภาพประกอบที่มีสีสรรสดใสสวยงาม มีตัวอักษรบรรยายเนื้อเรื่องไม่มากเกินไป และมีขนาดใหญ่พอสมควรใช้ภาษาง่ายๆ การอ่านนิทานให้เด็กฟัง พร้อมกับชี้ชวนให้เด็กดูภาพ ในหนังสือประกอบ จะเป็นการสร้างจินตนาการ สร้างสรรค์ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของพลังเรียนรู้จากการอ่านหนังสือ
                 หากเด็กพบว่าเด็กชอบหนังสือเล่มใดเป็นพิเศษ ก็จะให้พ่อแม่อ่านซ้ำไปมาทุกวันไม่เบื่อ ดังนั้นพ่อแม่ควรอดทนเพื่อลูก เด็กบางคนจำข้อความในหนังสือได้ทุกคำ แม้ว่าจะมีคำบรรยายยาว ได้ทั้งเล่ม ซึ่งจะเป็นประโยชน์มากต่อพัฒนาการด้านภาษาของเด็ก


    หลักการเลือกนิทานที่เหมาะกับเด็กปฐมวัย             • เหมาะสมกับวัย : เด็กในแต่ละวัยจะมีความสนใจฟังเรื่องราวต่างๆ แตกต่างกันไปตามความสามารถในการรับรู้ และประสบการณ์ที่ได้รับ นิทานที่เหมาะสมกับเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี ควรเป็นหนังสือภาพ สมุดภาพ หนังสือภาพผสมคำ นิทานที่มีบทร้อยกรอง ในขณะที่นิทานที่เหมาะกับเด็กอายุ 3 ปีขึ้นไป ควรเป็นนิทานที่มีเรื่องราวที่เกี่ยวกับธรรมชาติ นิทานเรื่องเล่าที่ให้ข้อคิด
        • ประโยชน์ที่เด็กจะได้รับ : การเลือกหนังสือต้องคำนึงถึงประโยชน์ที่เด็กจะได้รับ ในการส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กด้วย เช่น สอนให้รู้จักคำเรียกชื่อสิ่งของต่างๆ เปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงออกพัฒนาความคิด จินตนาการ ให้ความรู้สึกที่ดีต่อเด็ก มีความตลกขบขันให้ความสนุกสนาน ช่วยแก้ปัญหาให้กับตัวเด็ก เมื่อเปรียบเทียบตนเองกับตัวละคร เป็นต้น การอ่านเรื่องราว หรือเนื้อหาทั้งเล่มก่อนตัดสินใจเลือก จึงเป็นสิ่งสำคัญ             • เนื้อหาและลักษณะรูปเล่ม : นิทานหรือหนังสือที่ดีสำหรับเด็กปฐมวัยควรเป็นเรื่องสั้นๆง่ายๆ และไม่ซับซ้อน มีจุดเด่นของเนื่องจุดเดียว เด็กดูภาพหรือฟังเรื่องราวเข้าใจได้ และสนุกสนาน มีเนื้อเรื่องที่ชัดเจน ชวนติดตาม เป็นเรื่องที่เกี่นวกับตัวเด็ก และใกล้ชิดตัวเด็ก หรือธรรมชาติแวดล้อม ไม่มีการบรรยายเนื้อเรื่อง ควรมีลักษณะเป็นบทสนทนาโต้ตอบระหว่างตัวละคร ใ้ช้ภาษาที่ถูกต้อง ง่ายต่อความเข้าใจของเด็ก ตัวอักษรมีขนาดใหญ่ ใช้สีเข้มอ่านได้ชัดเจน มีภาพประกอบที่สอดคล้องกับเนื้อเรื่อง เป็นภาพที่มีสีสันสวยงามมีชีวิตชีวา ส่วนใหย๋จะเป็นภาพเขียนหรือวาดมากกว่าภาพถ่าย มีรูปเล่มที่แข็งแรงทนทาน ขนาดพอเหมาะกับมือเด็ก ไม่จำเป็นต้องเป็นรูปสี่เหลี่ยมเสมอไป และมีจำนวนหน้าประมาณ 10-20 หน้า
              วิธีการเล่านิทานหรือเรื่องราวสำหรับเด็ก     เมื่อเลือกนิทานหรือเรื่องราวที่เหมาะสมกับวัยของเด็กได้แล้ว วิธีการเล่านิทานหรือเรื่องราว เพื่อให้เด็กเกิดความสนใจ ติดตามฟังเนื้อเรื่องจนจบ จำเป็นต้องทำให้เหมาะสมกับเรื่องที่จเล่าด้วย การเล่านิทานที่นิยมมี 2 วิธี ดังนี้
     1. การเล่าเรื่องปากเปล่า ไม่มีอุปกรณ์ : เป็นการเล่านิทานด้วยการบอกเล่าด้วยน้ำเสียงและลีลาของผู้เล่า ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
• การขึ้นต้นเรื่องที่จะเล่า ควรดึงดูดความสนใจเด็ก โดยค่อยเริ่มเล่าด้วยเสียงชัดเจน ลีลาของการเล่าช้าๆ และเริ่มเร็วขึ้น จนเป็นการเล่าด้วยจังหวะปกติ
• เสียงที่ใช้ควรดัง และเป็นประโยคสั้นๆได้ใจความ การเล่าดำเนินไปอย่างราบรื่น ไม่ควรเว้นจังหวะการเล่านิทานให้นาน จะทำให้เด็กเบื่อ อีกทั้งไม่ควรมีคำถาม หรือคำพูดอื่นๆที่เป็นการขัดจังหวะ ทำให้เด็กหมดสนุก
• การใช้น้ำเสียง สีหน้า ท่าทาง แสดงให้สอดคล้องกับลักษณะของตัวละคร ไม่ควรพูดเนือยๆ เรื่อยๆ เพราะทำให้ขาดความตื่นเต้น
• อุ้มเด็กวางบนตัก โอบกอดเด็กขณะเล่า หรือถ้าเล่าให้เด็กหลายคนฟัง อาจจะนั่งเก้าอี้ให้เหมาะสมกับสายตาเด็ก
• ใช้เวลาในการเล่าไม่ควรเกิน 15 นาที เพราะเด็กมีความสนใจในช่วงเวลาสั้น
• ให้โอกาสเด็กซักถาม แสดงความคิดเห็น
    2. การเล่าเรื่องโดยมีอุปกรณ์ช่วย เช่น สิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็กเช่น สัตว์ พืช , วัสดุเหลือใช้เช่น กล่องกระดาษ กิ่งไม้,ภาพ เช่นภาพพลิก หรือภาพแผ่นเดียว ,หุ่นจำลอง ทำเป็นละครหุ่นมือ, หน้ากากทำเป็นรูปละคร ,นิ้วมือประกอบการเล่าเรื่อง


ที่มา  : http://www.sk-hospital.com/~ob/parent_school/nitan.htm

รูปแบบและวิธีการสังเกตเด็กปฐมวัย

รูปแบบและวิธีการสังเกตเด็กปฐมวัย

การสังเกตพฤติกรรมเด็กปฐมวัย
การประเมินผลจากการสังเกตและการบันทึกพฤติกรรม
รูปแบบของการสังเกตพฤติกรรมเด็ก
             การสังเกตมีอยู่ 2แบบคือ การสังเกตแบบเป็นทางการ มีวิธีการที่เป็นไปอย่างมีระบบ ได้แก่การสังเกตอย่างมีจุดมุ่งหมายที่แน่นอนตามแผนที่วางไว้ กับการสังเกตแบบไม่เป็นทางการ เป็นการสังเกตในขณะที่เด็กทำกิจกรรมประจำวันและเกิดพฤติกรรมที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นและผู้สอนจดบันทึกไว้
             แบบสังเกตพฤติกรรมเด็กมีหลายรูปแบบให้ครูเลือกใช้ตามความเหมาะสม ดังนี้
             1. แบบบันทึกพฤติกรรม กระทรวงศึกษาธิการ (2546: 75-78) อธิบายว่า การสังเกตและการบันทึกพัฒนาการเด็กสามารถใช้แบบง่ายๆ โดยใช้วิธีการบันทึกเหตุการณ์เฉพาะอย่าง โดยบรรยายพฤติกรรมเด็ก ผู้บันทึกแบบบันทึกพฤติกรรมใช้บันทึกเหตุการณ์เฉพาะอย่างโดยบรรยายพฤติกรรมเด็ก และผู้บันทึกต้องบันทึก วัน เดือน ปีเกิดของเด็ก และวัน เดือน ปีที่ทำการบันทึกแต่ละครั้ง
            2. แบบบันทึกการสังเกตพฤติกรรม ในการสังเกตพฤติกรรมเด็กเป็นวิธีการที่ผู้สอนใช้ ในการศึกษาพัฒนาการของเด็ก เมื่อมีการสังเกตก็ต้องมีการบันทึก ผู้สอนควรทราบว่าจะบันทึกอะไรการบันทึกพฤติกรรมมีความสำคัญอย่างยิ่งที่ต้องทำอย่าง สม่ำเสมอ เนื่องจากเด็กเจริญเติบโตและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จึงต้องนำมาบันทึกเป็นหลักฐานไว้อย่างชัดเจน แบบบันทึกการสังเกตพฤติกรรม ที่ผู้สังเกตต้องบันทึก พฤติกรรมที่สังเกตเห็น และแสดงความคิดเห็น หรือข้อเสนอแนะเพิ่มเติม โดยแยกการออกเป็นคนละส่วนจากผลการสังเกตพฤติกรรม กับการนำข้อมูลส่วนแรกมาแปลความหมายพฤติกรรมเด็ก
           3.แบบบันทึกรายวัน เป็น การบันทึกเหตุการณ์หรือประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในชั้นเรียนทุกวัน ถ้าหากบันทึกในรูปแบบของการบรรยายก็มักจะเน้นเฉพาะเด็กรายที่ต้องการศึกษา ข้อดีของการบันทึกรายวันคือ การชี้ให้เห็นความสามารถเฉพาะอย่างของเด็กจะช่วยกระตุ้นให้ผู้สอนได้พิจารณาปัญหา ของเด็กเป็นรายบุคคล ช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญมีข้อมูลมากขึ้นสำหรับวินิจฉันเด็กว่าสมควรจะได้รับคำปรึกษาเพื่อลดปัญหาและส่งเสริมพัฒนาการของเด็กได้อย่างถูกต้อง นอกจากนั้นยังช่วยชี้ให้เห็นข้อดีข้อเสีย ของการจัดกิจกรรมและประสบการณ์ได้เป็นอย่างดี (กระทรวงศึกษาธิการ, 2546: 75-78)
          4.แบบประเมินผลพัฒนาการ เป็นวิธีการที่ต้องใช้การสังเกตพฤติกรรมเด็กและบันทึกสิ่งที่สังเกตเห็นตามรายการที่กำหนดขึ้นปัจจุบันนิยมใช้แทนแบบสังเกตมากขึ้น เพราะใช้สะดวกมีรายละเอียดกำหนดกรอบให้บันทึกได้ครบถ้วนทางพฤติกรรมและมีระดับที่บอกระดับความสามารถหรือระดับพัฒนาการ สำหรับข้อจำกัดของแบบประเมินผลพฤติกรรมคือไม่มีการบันทึกข้อมูลปลายเปิด อาจขาดการบันทึกพฤติกรรมสำคัญลงไปในการประเมินผลพัฒนาการเพื่อกำหนดความชัดเจนของพฤติกรรมที่น่าเชื่อถือได้ การใช้แบบประเมินผลพัฒนาการหรือ Checklistsถือเป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยให้ครูเข้าใจพฤติกรรมเด็กได้ดีขึ้นในการใช้แบบประเมินผลพัฒนาการนั้น ครูประจำชั้นจะต้องตั้งวัตถุประสงค์ว่าต้องการจะศึกษาอะไรหลังจากนั้นนำมาสร้างแบบประเมินผลพัฒนาการโดยอาศัยทฤษฎีพัฒนาการ (นภเนตร ธรรมบวร, 2537:48)แบบประเมินผลพัฒนาการถือเป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับการประเมินรูปแบบพฤติกรรมของเด็ก การใช้แบบประเมินผลพัฒนาการจะให้ได้ผลดีที่สุดว่ามีการใช้ควบคู่กับการสังเกตพฤติกรรมเด็กอย่างเป็นระบบ การใช้แบบประเมินผลพัฒนาการช่วยประหยัดเวลาครูประจำชั้นได้มากในกรณีที่ครูประจำชั้นไม่มีเวลามากนัก แต่ในขณะเดียวกันถ้าใช้แบบประเมินผลพัฒนาการแต่เพียงอย่างเดียว ครูประจำชั้นก็ไม่อาจทราบถึงรายละเอียดของพฤติกรรม พัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กข้อที่ควรระมัดระวังอีกอย่างหนึ่งในการใช้แบบประเมินผลพัฒนาการ คือครูมีแนวโน้มที่เช็คพฤติกรรมที่เกิดขึ้นของเด็กให้อยู่ในช่วงกลางๆ มากกว่าที่จะเป็นช่วงต่ำสุดหรือสูงสุด
วิธีการสังเกตพฤติกรรมเด็ก
                กระทรวงศึกษาธิการ(2546: 75-78) ได้กล่าวว่าการที่จะได้ข้อมูลของพฤติกรรมที่ต้องการจะพัฒนาเด็กอย่างถูกต้องนั้น ครูคือผู้ที่มีบทบาทสำคัญที่สุด สอดคล้องกับแนวคิดของประกายรัตน์ ภัทรธิติ (2531:227-233) ที่กล่าวว่าสิ่งสำคัญที่สุดในการที่ครูจะพัฒนาพฤติกรรมของนักเรียนให้ได้ผลนั้น ครูต้องเป็นนักสังเกตพฤติกรรมที่ดีเสียก่อน จึงจะทำให้ครูได้ข้อมูลพื้นฐาน (Baseline Data) ของพฤติกรรมที่ต้องการจะพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงซึ่งข้อมูลเหล่านั้น จะช่วยให้ครูสามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้องว่า พฤติกรรมใดควรพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลง อีกทั้งทำให้รู้ว่าโปรแกรมการพัฒนาเด็กหรือเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่สร้างขึ้นนั้นได้ผลเพียงใด และในขณะที่สังเกตนั้น ผู้สังเกตจะต้องไม่ทำให้ผู้ถูกสังเกตรู้เพราะจะทำให้ผู้ถูกสังเกตระวังตัว ซึ่งอาจทำให้ข้อมูลที่ได้ผิดพลาดไป ดังนั้นในการสังเกตพฤติกรรมเด็กปฐมวัย จึงมีหลักการเลือกสังเกต โดยครูจะต้องเลือกสถานที่ทำการสังเกตพฤติกรรมว่าพฤติกรรมเกิดขึ้นที่สถานที่ใดบ่อยที่สุดก็เลือกสถานที่นั้น เป็นสถานที่ที่ทำการสังเกตพฤติกรรม จากนั้นเลือกเวลาที่จะทำการสังเกตพฤติกรรม ผู้สังเกตจะทำการสังเกตโดยการสุ่มเวลาที่จะทำให้ได้ข้อมูลที่ใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด เนื่องจากว่าไม่มีพฤติกรรมใดที่จะเกิดบ่อยครั้งในช่วงเวลาเดียวกันตลอดเวลา
               ในการสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียนควรสังเกตจากการเล่นในกิจกรรมประจำวันทุกกิจกรรมจึงจะสามารถมองเห็นพัฒนาการเด็กได้แน่นอนยิ่งขึ้น
                ในกระบวนการสังเกตพฤติกรรมนั้น ครูหรือใคร ก็ตามที่เป็นผู้สังเกต ไม่ควรที่จะสังเกตหลายๆ พฤติกรรมในเวลาเดียวกัน นอกจากว่าจะมีประสบการณ์ในการสังเกตเป็นอย่างดีแล้ว เพราะว่าจะทำให้เกิดความสับสนได้ อันเป็นเหตุให้ได้ข้อมูลที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงและแบบสังเกตพฤติกรรมอาจเลือกใช้ได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับทักษะของผู้ใช้และบริบทของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

ชไมมน
อาจารย์
มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ Chiangmai Rajabat University

สารอาหารที่สำคัญสำหรับการเจริญเติบโตของเด็ก

สารอาหารที่สำคัญสำหรับการเจริญเติบโตของเด็ก

     การที่เด็กจะมีร่างกายแข็งแรง และเจริญเติบโตสมวัยนั้น จำเป็นจะต้องได้สารอาหารครบถ้วนที่ร่างกายต้องการ ซึ่งสำหรับคนที่เป็นพ่อแม่นั้นมักจะกังวลว่าลูก จะได้ สารอาหารไม่พอเพียง และมักจะคอยเคี่ยวเข็ญให้ลูก ต้องทานอาหารมากๆ จนบางครั้งเกิดปัญหากับเด็กขึ้น
Image
     คุณควรจะพิจารณาเลือกทางสายกลาง ให้ได้สารอาหารที่สมดุลระหว่าง แคลอรี่, คุณค่าทางโภชนาการ, ปริมาณอาหารที่รับประทานในแต่ละมื้อ และ ส่วนประกอบอื่นๆ ที่สำคัญ อันได้แก่ แคลเซี่ยม, ธาตุเหล็ก, และ กากใยอาหาร (ไฟเบอร์) ซึ่งไม่เป็นการง่ายเลยที่จะหาวิธีทำอาหารให้เด็กๆ ได้ทานอย่างเอร็ดอร่อย, ได้แคลอรี่มากเพียงพอกับวัยที่กำลังเจริญเติบโตอย่างเต็มที่ และ ได้สารอาหารต่างๆ เหล่านี้อย่างครบถ้วนในแต่ละวัน

     คุณพ่อ คุณแม่จะต้องมีความรู้เกี่ยวกับการโภชนาการ และศิลปะของการทำอาหารให้น่ารับประทาน เพื่อเอาใจลูกๆ ความรู้เรื่องแคลเซี่ยม เด็กในวัยเรียนจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องได้รับแคลเซี่ยมจากอาหารในแต่ละวันได้พอเพียง เพื่อทำให้กระดูกที่กำลังเจริญเติบโตแข็งแรง โดยทั่วไปเด็กอายุ 4 -8 ปี ต้องการแคลเซี่ยม ประมาณ 800 มิลลิกรัม ต่อ วัน ขณะที่เด็กอายุ 9-18 ปี ต้องการแคลเซี่ยม 1,300 มิลิกรัม ต่อวัน ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถจัดอาหารประเภทที่มีแคลเซี่ยมสูงให้แก่ลูกได้

     การป้องกันภาวะกระดูกพรุน (osteoporosis) นั้น เริ่มตั้งแต่ช่วงอายุเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น เนื่องจากเป็นช่วงที่มีการสะสมเนื้อกระดูก (bone mass) อย่างเต็มที่ในช่วงวัยรุ่น หลังจากนั้นกระดูกจะเริ่มมีการปรับตัวไปตามเกณฑ์อายุ และ เริ่มมีภาวะกระดูกพรุนในที่สุด

     แคลเซี่ยม เป็นสารที่สำคัญในการเสริมสร้าง ให้กระดูกมีความแข็งแกร่ง แม้ว่าเด็กวัยรุ่นจะมีความรู้ เรื่องแคลเซี่ยม ว่ามีความสำคัญเพียงไร แต่พบว่าเด็กวัยรุ่นโดยเฉพาะผู้หญิง มักจะห่วงเรื่องความสวยงาม และรูปร่าง ทำให้ เริ่มมีการควบคุมอาหาร (on diet) กัน ตั้งแต่เริ่มเข้าสู่วัยรุ่น จึงทำให้เกิดปัญหาเรื่องกระดูกพรุน เมื่อมีอายุมากขึ้นได้ง่าย ข้อแนะนำ ในการจัดอาหารที่มีแคลเซี่ยมสูงให้ ได้ถึง 1,300 มิลลิกรัม ต่อ วัน ให้แก่เด็กที่ต้องการควบคุมเรื่องน้ำหนัก ได้แก่

1. ให้อาหารประเภท นม และ ผลิตภัณฑ์จากนมที่มี ไขมันต่ำ หรือ ไม่มีไขมัน (low-fat and nonfat dairy products) ได้แก่ เนยแข็ง (cheese) โยเกิต และ นมสด

2. ควรพูดคุยกับลูก ชักชวนให้ดื่มนม และ ผลิตภัณฑ์จากนมมากขึ้น เนื่องจากพบว่า เด็ก วัยรุ่นมักจะไม่ชอบดื่มนม เพราะกลัวอ้วน และ มีความรู้สึกว่าการดื่มนมนั้นเป็น เรื่องของเด็กเล็ก ถ้าเขายังดื่มนมมาก แสดงว่า เขายังเป็นเด็กเล็กไม่ใช่วัยรุ่นอย่างที่เขากำลังเป็น คุณพ่อคุณแม่ควรจะพูดถึงความสำคัญของ โรคกระดูกพรุน ที่จะป้องกันได้ ตั้งแต่วัยเด็ก โดยการทานอาหารที่มี แคลเซี่ยมสูง และ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และ นมเป็นอาหารที่มี แคลเซี่ยมสูง ในแบบธรรมชาติที่ร่างกายคนเรา จะสามารถดูดซึมนำไป ใช้ในการเสริมสร้างความแข็งแรง ของ กระดูกได้ดีที่สุด

3. ควรให้ความรู้ แก่ลูก ในการ เลือกเครื่องดื่ม โดยเน้น การดื่มนมไขมันต่ำ หรือ นมปราศจากไขมัน แทนการ ดื่มน้ำหวาน น้ำอัดลม เพราะ น้ำหวาน และ น้ำอัดลม มีเพียงน้ำตาลสามารถทำให้อ้วนได้เช่นกัน แต่ไม่ได้มีคุณค่าทางโภชนาการอย่างอื่นเท่านม

4. สำหรับลูกสาว คุณพ่อคุณแม่ ยิ่งควรให้ความรู้เรื่อง โรคกระดูกพรุนที่พบบ่อยในหญิงสูงอายุ ว่ามีความสำคัญ และ ป้องกันได้ โดยการเสริมสร้างกระดูก ให้แข็งแรง ตั้งแต่ช่วงวัยเด็ก (โดยเฉพาะในช่วงตอนเป็นวัยรุ่น) ถ้าลูกกลัวอ้วน ควร สนับสนุนเรื่องการใช้นมไขมันต่ำ หรือ นมปราศจากไขมัน ในบางราย อาจจะพบว่าเด็กไม่ชอบดื่มนม เนื่องจากมีปัญหาในการย่อยนมวัวที่มีแลคโตส (Lactose) ไม่ได้ เพราะขาดเอนไซม์แลคเตส (Lactase enzyme) ที่ใช้ ในการย่อยที่เรียกว่า Lactose intolerance ซึ่งพบว่าคนที่มีปัญหานี้ เมื่อดื่มนมปริมาณมากจะ มีอาการปวดท้อง ท้องอืด และ ท้องเสีย ได้

     ซึ่งถ้าคุณพ่อคุณแม่และลูกๆมีปัญหานี้ ก็ควรจะเลือกทานนมสดในปริมาณน้อยๆ ในแต่ละครั้ง และการทานอาหารที่เป็นผลิตภัณฑ์จากนม เช่น เนยแข็งหรือโยเกิต ปริมาณไม่มากในแต่ ละวัน ก็ยัง ได้แคลเซี่ยมบ้าง และ จะมีปัญหาปวดท้องน้อยลง ในขณะเดียวกัน ก็เลือก ทานอาหารประเภทอื่น ที่ไม่ใช่นมแต่มีแคลเซี่ยมสูงแทน

     มีคำถามกันมาว่าการทานอาหารปกติ โดยไม่ทานนม หรือ ผลิตภัณฑ์จากนมเลยนั้นจะสามารถได้แคลเซี่ยมเพียงพอ กับที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันได้หรือไม่ จะพบว่าแม้ในอาหารอื่นๆ จะมี แคลเซี่ยมอยู่บ้าง แต่การที่จะให้ได้แคลเซี่ยม ในปริมาณสูงเพียงพอ กับการเจริญเติบโตของเด็กวัยรุ่น โดยไม่ทานนมเลยนั้น จะทำได้ค่อนข้างยาก ในกรณีเช่นนี้ ควรพิจารณาให้แคลเซี่ยม เสริม เช่น การทานแคลเซี่ยม เม็ด แต่ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อขอคำแนะนำในเรื่องนี้
Image
     ในปัจจุบันจะสามารถ พบว่ามีอาหารหลายประเภทที่มี แคลซี่ยมสูง เช่น น้ำผลไม้ ที่เติม แคลเซี่ยม, ผักใบเขียว หลายชนิด, และ ปลาตัวเล็กๆ ทอด เช่น ปลาข้าวสาร หรือ แม้แต่ ปลากระป๋อง เช่น ปลาซาร์ดีน และ ปลาแซลมอน

     ที่สำคัญคือการสนับสนุน ให้ลูกของคุณ มีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น การเล่นกีฬาหลายๆ ประเภท โดยเฉพาะ weight-bearing exercises เช่นการวิ่งจ๊อกกิ้งหรือเดินออกกำลัง จะช่วยให้กระดูกแข็งแรง

    ตัวอย่าง อาหารและปริมาณของแคลเซี่ยมที่ได้จากอาหารแต่ละชนิด
ขนาดที่รับประทาน 8 ออนซ์ / 250 ซีซี

อาหาร น้ำส้มที่เติมแคลเซี่ยม

ปริมาณแคลเซี่ยม 300 มิลลิกรัม


ขนาดที่รับประทาน 8 ออนซ์ / 250 ซีซี

อาหาร นมไร้ไขมัน (skim milk)

ปริมาณแคลเซี่ยม 290-300 มิลลิกรัม


ขนาดที่รับประทาน 6 ออนซ์ / 175 ซีซี

อาหาร โยเกิต

ปริมาณแคลเซี่ยม 280 มิลลิกรัม


ขนาดที่รับประทาน 4 ออนซ์ / 125 กรัม

อาหาร เต้าหู้

ปริมาณแคลเซี่ยม 260 มิลลิกรัม


ขนาดที่รับประทาน 3 ออนซ์ / 85 กรัม

อาหาร ปลาแซลมอนกระป๋อง

ปริมาณแคลเซี่ยม 205 มิลลิกรัม


ขนาดที่รับประทาน 1 ออนซ์ / 30 กรัม

อาหาร เนยแข็ง (cheese)

ปริมาณแคลเซี่ยม 130-200 มิลลิกรัม


ขนาดที่รับประทาน 4 ออนซ์ / 125 กรัม

อาหาร ไอศกรีม, พุดดิ้ง, โยเกิตผลไม้แช่แข็ง

ปริมาณแคลเซี่ยม 90-100 มิลลิกรัม


ขนาดที่รับประทาน 4 ออนซ์ / 125 กรัม

อาหาร ผักใบเขียวหลายชนิด

ปริมาณแคลเซี่ยม 100 มิลลิกรัม


ความสำคัญของธาตุเหล็ก

     ธาตุเหล็ก เป็นสารอาหารที่สำคัญมากอีกชนิดหนึ่งที่เด็กควรจะได้รับให้เพียงพอในแต่ละวัน

     ในวัยทารก ต้องการ 6-10 มก.ของ ธาตุเหล็ก, ในขณะที่เด็กวัยต่ำกว่า 10 ปี ต้องการ 10-15 มก. และ เมื่อเข้าวัยรุ่น ควรได้ 15 มก. ต่อวัน ทั้งนี้เพราะในวัยรุ่นชายต้องการธาตุเหล็ก เพื่อให้ร่างกายเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่ และ ในวัยรุ่นหญิงต้องการธาตุเหล็ก เพื่อการ เจริญเติบโต และ เพื่อชดเชยการสูญเสียเลือด จากที่เริ่มมีประจำเดือน ดังนั้นในวัยรุ่นหญิง จะพบปัญหาการขาดธาตุเหล็กได้ง่ายกว่า อีกทั้งบางราย ยังอาจจะพยายามอดอาหาร เพื่อควบคุมน้ำหนัก และ ออกกำลังกายหนัก ทำให้ปัญหาการขาดธาตุเหล็กนี้มี ความรุนแรงขึ้นได้

     อาการของการขาดธาตุเหล็กนั้นมีได้หลายระดับ ตั้งแต่ รู้สึกอ่อนเพลียง่าย หงุดหงิด มึน หรือ ปวดศีรษะบ่อยๆ รู้สึกไม่ค่อยมีแรง ปลายมือ ปลายเท้าชา ในรายที่ขาดธาตุเหล็กรุนแรง ก็จะพบว่ามีปัญหาโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก ทำให้เจ็บป่วยได้บ่อยๆ หรือ หายช้า

     ในกรณีที่คุณสงสัยว่าลูกจะมีปัญหาขาดธาตุเหล็ก ควรปรึกษาแพทย์ ซึ่งจะช่วยทำการตรวจวินิจฉัย และ ในบางรายจำเป็นต้องตรวจเลือด เพื่อวินิจฉัยแยกโรคจากภาวะ โลหิตจางจากโรคเลือดธาลัสซีเมีย ไม่ควรให้ยาธาตุเหล็กเพิ่มเอง เนื่องจาก ธาตุเหล็กที่มากเกินไป อาจมีอันตรายได้ คุณสามารถช่วยจัด อาหารที่มีธาตุเหล็กสูงให้แก่ ลูกได้ทาน เช่น เนื้อวัว หมู ไก่ ตับ เลือดหมู เลือดไก่ ปลาทูน่า และ กุ้ง

    ธาตุเหล็กที่มาจากเนื้อสัตว์จะถูกดูดซึมได้ง่ายกว่าธาตุเหล็กที่มาจากผักใบเขียว นอกจากนั้นอาหารประเภท ถั่วต่างๆ และผลไม้แห้ง ก็มี ธาตุเหล็กในปริมาณมากพอควรเช่นกัน ในอาหารสำเร็จรูปแบบสมัยใหม่ เช่น ซีเรียล มักจะมีการเติมธาตุเหล็กเพิ่มขึ้น (iron-fortified cereal) ซึ่งสำหรับวัยรุ่น มักจะชอบทานประเภทที่เป็น ธัญพืช (whole-grain) และน้ำตาลน้อย (low-sugar) เพื่อช่วยควบคุมน้ำหนัก แต่ก็ยังได้สารอาหารอื่น และ ธาตุเหล็กครบถ้วน

   อาหารที่มีกากใยอาหารมาก (fiber)

    อาหารที่มีกากใยไฟเบอร์มาก ก็จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตและ สุขภาพของลูก เพราะ ลดอุบัติการณ์การเกิดโรคหัวใจ และ มะเร็ง ในตอนอายุมากและยังช่วยให้ระบบขับถ่ายอุจจาระเป็นปกติสม่ำเสมอ
Image
    คุณจึงควรฝึกให้ลูก ได้ทานผักและผลไม้เป็นประจำ จนเป็นนิสัยที่ดีต่อสุขภาพ วิธีการประมาณว่าลูกควรจะได้สารอาหารไฟเบอร์ วันละกี่กรัมในแต่ละวัน โดยการบวก 5 กับ อายุ เป็น ปี ของลูก เช่น ลูกอายุ 4 ปี ควรจะ ได้กากใยอาหารประมาณ 4+5 = 9 กรัม ต่อ วัน ซึ่งจะ ได้จากอาหารต่างๆ ดังนี้ คือ สลัดผัก, ข้าวโอต หรือ ธัญพืช อื่น ในอาหาร และ ขนมปัง ที่ทาน,ข้าวกล้อง หรือ ข้าวซ้อมมือ, อาหารประเภท ถั่วต่างๆ เช่น ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วเขียว ต้มน้ำตาล หรือ ในรูปแบบของขนมไทยประเภทต่างๆ

    ในการฝึกให้ลูกทานอาหารที่มีกากใยเพิ่มมากขึ้นนั้น ควรค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละน้อย เพื่อให้ระบบการย่อยอาหารของลูก ค่อยๆ ปรับตัว จนคุ้นเนื่องจากรสชาติของอาหาร และ การย่อยอาหารที่มีไฟเบอร์มาก อาจจะทำให้มีปัญหาท้องอืด หรือ รู้สึกปวดท้อง ได้ ทำให้ลูกอาจไม่ชอบอาหารที่มีไฟเบอร์มากได้

    กล่าวโดยสรุป คุณพ่อ คุณแม่ ควรจะมีความรู้ เรื่องโภชนาการที่ถูกต้อง เพื่อจะได้จัดอาหาร ที่มีคุณค่าทางโภชนาการอย่างสมดุล และ มีประโยชน์ต่อสุขภาพให้แก่ลูกและ ครอบครัว โดยไม่จำเป็นต้องหาแต่อาหารพิเศษ ที่มีราคาแพง หรือ ทานไวตามินและ สารอาหารเสริมที่ไม่จำเป็น เพื่อให้ทุกคนได้อิ่ม อร่อย และ มีสุขภาพ ดีกันถ้วนหน้า

ข้อควรปฏิบัติในการให้อาหารเสริม

     คุณพ่อ คุณแม่ ที่กำลัง มีลูกเล็กวัยกำลังกินกำลังนอน มักจะมีคำถามบ่อยๆว่าควรจะเริ่มอาหารเสริมอย่างไรดี เนื่องจากมีคำแนะนำจากบรรดากองเชียร์ ทั้งคุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย และ คนรอบข้าง ให้เริ่มป้อนอาหารเสริมเพื่อให้เด็กอ้วนท้วน จึงได้รวบรวมข้อแนะนำเกี่ยวกับอาหารเสริมมาไว้ ณ ที่นี้
Image
     ควรเริ่ม อาหารเสริม เมื่อไรดี?
     โดยทั่วไปกุมารแพทย์จะแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่เริ่มป้อนอาหารเสริมให้แก่ลูก เมื่อตอนช่วงอายุ 4-6 เดือนโดยมีเหตุผลสำคัญคือ
1. นมแม่ ในช่วง 6 เดือนแรกมีปริมาณวันละ 750-800 มล. จึงมีสารอาหารต่างๆมากพอสำหรับเป็นอาหารอย่างเดียวของทารกและ ทำให้มีการเจริญเติบโตได้อย่างดีจนถึงอายุประมาณ 4-6 เดือน
2. ในวัยนี้ทารกมีความพร้อมที่จะรับอาหารเสริมได้ กล่าวคือ
         
          2.1 ทางด้านระบบประสาท

          จากเดิมในช่วงที่เป็นเด็กอ่อน ซึ่งจะมีการทำงานของระบบประสาทชนิดรีเฟลกซ์ ที่ทำการแลบลิ้นดุนอาหารออกมา เรียกว่า extrusion reflex หรือ tongue protrusion reflex เพื่อป้องกันการสำลักเมื่อทารกถูกป้อนอาหารกึ่งแข็ง กึ่งเหลว ซึ่งรีเฟลกซ์นี้จะค่อยๆหายไป ในช่วง อายุ 4 เดือนขึ้นไป ทำให้ทารกสามารถรับและกลืนอาหารที่มีลักษณะกึ่งแข็ง กึ่งเหลวได้

          2.2 ระบบย่อยอาหารและน้ำย่อยต่างๆ จะเริ่มมีมากขึ้น ทำให้สามารถย่อยอาหารประเภทแป้งข้าวได้ดีขึ้น

          2.3 ด้านการดูดซึม พบว่าในช่วงอายุน้อยๆ ( < 3 เดือน) ทารกจะดูดซึมโปรตีนที่มีขนาดโมเลกุลใหญ่ในอาหารเข้าสู่กระแสเลือดได้มาก ทำให้เกิดเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคภูมิแพ้ แต่พออายุมาก ขึ้น ( 4 เดือนขึ้นไป) การทำงานของลำไส้ เริ่มมี ความละเอียดอ่อนมากขึ้น ทำให้สามารถคัดกรองโปรตีนที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่ออกจากระบบ ไม่ดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด จึงทำให้เกิดการแพ้สารอาหารน้อยลง

          2.4 การทำงานของไต ในช่วงแรกไตของทารกยังไม่สามารถขับของเสียต่างๆ ออกมาทางปัสสาวะได้มากเท่าเด็กโต หรือ ผู้ใหญ่ และ มีความสามารถในการทำให้ปัสสาวะเข้มข้นได้ไม่มาก แต่ ไม่เกิดปัญหาในทารกที่ทานนมแม่ ซึ่งมีโปรตีน และสารเกลือแร่ ที่มีปริมาณต่ำ และเหมาะสมสำหรับวัยทารก

          เมื่อทารกอายุ 4-6 เดือน ไตมีความสามารถในการทำงานได้ดีขึ้น จึงสามารถรับอาหารเสริมได้โดยไม่เกิดปัญหา

     ไม่ควรเริ่มอาหารเสริมเร็วเกินไปก่อนอายุ 4 เดือน เพราะจะทำให้ทารกดูดนมแม่ได้น้อยลง รวมทั้ง มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคภูมิแพ้ และในบางครั้ง ถ้าอาหารที่ให้นั้นเตรียมไม่สะอาด ก็จะทำให้ทารกเกิดการติดเชื้อท้องเสียลำไส้อักเสบได้
     ไม่ควรเริ่มอาหารเสริมช้าเกินไป เพราะ ทำให้ทารกได้รับสารอาหารไม่พอเพียงและ ในบางรายจะไม่ยอมรับอาหารเสริม เพราะ คุ้นเคยแต่การดูดนมเท่านั้น ทำให้เด็กมีปัญหาทุพโภชนาการในภายหลัง

     ซึ่งถ้าทารกได้รับแต่นมแม่เพียงอย่างเดียวจนถึงอายุประมาณ 9 เดือน ถึง 1 ปี อาจเริ่มมี ปัญหาโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กร่วมกับการได้รับโปรตีนและแคลอรี่ไม่เพียงพอ ทำให้เด็กมีน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ต่ำและซีดได้

     ข้อแนะนำคือ ให้ อาหารเสริมที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ในปริมาณที่เหมาะสมตามวัย
Image
     การเริ่มอาหารชนิดใหม่
     ควรเริ่มทีละอย่าง ถ้าภายใน 1-2 สัปดาห์หลังจากนั้นไม่พบว่ามีอาการแพ้ เช่น ผื่นแพ้เห่อ หรือ อาเจียน ท้องอืด ฯลฯ ที่ ผิดปกติ จึงค่อยเริ่มอาหารชนิดอื่นต่อไป

     ไม่ควรใส่เครื่องปรุง หรือ ผงชูรส เพื่อให้ทารกคุ้นเคยกับอาหารรสธรรมชาติ ไม่ติดรสหวานหรือ เค็ม เพราะโดยทั่วไปถ้ามี การเติมรส ให้อร่อยอย่างของผู้ใหญ่ ในบางครั้งจะพบว่าทำให้ทารกได้รับเกลือโซเดียมสูงเกินไป เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรค ความดันโลหิตสูง ส่วนอาหารที่มีรสหวาน นอกจาก ทำให้เด็กติดรสหวานไม่ยอมทานอาหารรสธรรมดาแล้ว ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอ้วน ฟันผุ และ ไขมันใน เลือดสูงในอนาคต

     ในช่วงแรกอาจเริ่มจากไข่แดงต้มสุก (ต้มไข่ ให้สุก ทั้งฟอง แล้ว แกะเปลือก แกะ เอาไข่ขาวออก เหลือไข่แดงที่สุกแข็งแล้ว นำมาบี้ผสมในข้าวตุ๋นให้ลูกได้) เพื่อลดการกระตุ้นให้เกิดภูมิแพ้ และ ฆ่าเชื้อโรคที่อาจติดมากับไข่ เช่นเชื้อ ซาลโมเนลล่า (เชื้อทัยฟอยด์), ไม่ควรให้ไข่ลวก

     ปัญหาการแพ้สารอาหาร
     ควรระวังเรื่องการแพ้สารอาหารบางอย่าง เช่น ไข่ขาว, อาหารทะเลหลายชนิด โดยเฉพาะประเภทที่มีเปลือกแข็ง เช่น กุ้ง ปู หอย แม้แต่การนำน้ำซุปที่ต้มอาหารทะเล มาทำอาหารให้แก่ทารกก็อาจเกิดการแพ้ได้ จึงควรหลีกเลี่ยง

     ถั่วลิสง ก็เป็นสารก่อแพ้ที่รุนแรงได้ บางครั้งในครอบครัวที่ทานอาหารเจจะต้มถั่วลิสง หรือ ใช้น้ำมันถั่วลิสงทำอาหารก็อาจเกิดปัญหา ในรายที่ชอบทานเนยถั่ว (peanut butter) ไอสครีมที่โรยถั่ว หรือ คุกกี้ถั่ว เมื่อให้เด็กเล็กลองชิม ก็อาจเกิดอาการแพ้รุนแรง ได้เช่นกัน

     อาหารบางประเภทโดยเฉพาะที่มีส่วนผสมหลายๆอย่างอยู่ด้วยกัน เช่น ขนมเค็ก หรือ คุ๊กกี้, ลูกชิ้น, ชอคโคแลต, ปูอัด, ไส้กรอก, อาหารกระป๋อง, ขนมถุงกอบแกบ ฯลฯ มักจะมีส่วนผสมหลายอย่าง ที่ไม่ทราบองค์ประกอบที่มีอยู่ทั้งหมด ซึ่งบางครั้งอาจเกิดอาการแพ้ได้ ตัวอย่างเช่น ขนมเค็ก มีส่วนผสม ทั้งนมวัว, ยีสต์, ไข่ไก่ สีผสมอาหาร ฯลฯ ส่วน ปูอัด จะเป็นเนื้อปลาหลายชนิดนวดกับแป้ง และ สีผสมอาหาร, เต้าหู้ (เต้าหู้หลอด)ที่ใช้ปรุงอาหารก็เช่นกัน จะมีอยู่ 2 ประเภท คือเต้าหู้ถั่วเหลืองที่มีแต่ถั่วเหลืองแท้ๆ และเต้าหู้ไข่ซึ่งมีสีเหลืองกว่า และมีไข่ขาวอยู่ด้วย ถ้าลูกแพ้ไข่ขาว แต่คุณแม่ให้ทานเต้าหู้ไข่ ก็อาจแพ้ได้

     อาหารเด็กอ่อนที่มีขายสำเร็จรูปอยู่ทั่วไปหลายชนิด จะมีส่วนผสมของนมวัวอยู่ด้วย (cow’s milk base) เช่น cereal ทั่วไป ซึ่งในรายที่ลูกแพ้นมวัว ถ้ามาให้อาหารประเภทนี้ ก็อาจจะมีผื่นแพ้นมวัวเห่อขึ้นได้ จึงควรเลือกเป็นชนิดที่ไม่มีนมวัวเ ป็นส่วนประกอบ แต่อาจเป็นแป้งข้าวหรือถั่วเหลืองแทน (rice or soy base) เช่น rice cereal

    จึงควรอ่านสลากรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ข้างกล่องให้รอบคอบ ก่อนเลือกใช้กับลูก

      เมื่อลูกอายุ ได้ 6-8 เดือนขึ้นไป การทำอาหารเสริมให้เด็กไม่จำเป็นต้องบดให้ละเอียดมาก เพื่อให้ทารกคุ้นเคย กับอาหารที่เป็นชิ้นๆ เล็กๆ และ สามารถยอมทานอาหารประเภท โจ๊ก ข้าวต้มเละๆ ได้ เมื่อมีอายุมากขึ้น ตอนอายุ 7 เดือนขึ้นไป ในรายที่ไม่มี ปัญหา แพ้ไข่ อาจลองให้ทาน ไข่ขาว ร่วมกับ ไข่แดง ได้ แต่ถ้าลองแล้วแพ้ ก็ควรหยุดไปก่อน เมื่อลูกอายุ 8-9 เดือน จะมี พัฒนาการทางด้านการใช้นิ้วมือหยิบของชิ้นเล็กได้ ควรให้ลูกได้ลองหยิบถืออาหารที่ไม่ แข็งนักกินเองได้ เช่น ฟักทองนึ่ง มันต้ม ที่หั่นเป็นชิ้นยาว แต่ ต้องระวัง การสำลักติดคอหรือลงปอด

     ไม่ควรให้อาหาร ที่มีลักษณะ แข็ง กลม เช่น ถั่วลิสง เมล็ดข้าวโพด หรือเมล็ดธัญพืชอื่นๆ เพราะจะสำลักติดคอได้ง่าย

     ภายหลังจากอายุครบ 6 เดือน และ เด็กเริ่มทานอาหารเสริมได้ดีขึ้น จะพบว่าเด็กเริ่มทานนมน้อยลง เพราะอาหารเสริมจะเข้ามาแทนที่นมได้ ซึ่ง คุณพ่อ คุณแม่ไม่ต้องกังวล เนื่องจากคุณค่าของ สารอาหาร และ ไวตามินที่ลูกได้รับจากการทานอาหารเสริมนั้น จะมีปริมาณมากกว่าการทานนม เมื่อ เทียบสัดส่วนต่อปริมาณ (น้ำหนัก) ที่ลูกทาน ได้ในแต่ละมื้อจน

     กระทั่งอายุ 8-9 เดือน จะได้รับอาหารเสริม 2 มื้อ และ นมวันละประมาณ 4 มื้อ

     เมื่ออายุ 10-12 เดือน ควรให้อาหารเสริม 3 มื้อ และ ทานนมประมาณ 3 มื้อ

     หลังจาก 1 ปี อาหารเสริมจะกลายเป็นอาหารมื้อหลัก และ นมจะกลายเป็นส่วนเสริม ซึ่ง คุณพ่อ คุณแม่ จะสามารถเลือกให้นมในรูปแบบต่างๆ ได้มากขึ้น เช่น การทานนมสดธรรมดา (พาสเจอร์ไรซ์, ยู เอช ที) หรือนมในรูปแบบของ โยเกิต, ชีส ฯลฯ ก็ได้



ตารางการให้อาหารเสริมตามวัย
อายุ 4 เดือน อาหารเสริม ข้าวบด กับ น้ำแกงจืด ไข่แดง หรือ เนื้อสัตว์ เช่น ไก่ ปลา หรือ ตับ
อายุ 5 เดือน อาหารเสริม เพิ่ม ผักใบเขียว ฟักทอง แครอท มะเขือเทศ
อายุ 6 เดือน อาหารเสริม 1 มื้อ ผลไม้สุกเป็นอาหารว่าง วันละครั้ง ในแต่ละมื้อทารกควรได้รับเนื้อสัตว์ ประมาณ 1ช้อนโต๊ะ หรือไข่แดง 1 ฟอง ผสมกับข้าวบดและผักบด
อายุ 7 เดือน อาหารเสริม ให้ไข่ ทั้งฟองได้
อายุ 8-9 เดือน อาหารเสริม 2 มื้อ อาหารว่าง วันละครั้ง
อายุ 10-12 เดือน อาหารเสริม 3 มื้อ อาหารว่างวันละครั้ง


     สำหรับการเลือกชนิดของอาหารเสริมในเด็กว่าควรเป็น แบบทำเองที่บ้าน หรือ ซื้อเป็นแบบขวดสำเร็จรูปที่มีวางขายกันทั่วไปนั้น ก็แล้วแต่ความชอบของแต่ละครอบครัว

     ข้อดีของการเตรียมอาหารเสริมให้ลูกเอง ก็คือ สะอาด และ สดเสมอ, เลือกชนิดของอาหารได้ตามที่ชอบ ทำให้ ได้สารอาหารหลากชนิด มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน และ ถ้ามีอาการแพ้สารอาหารก็จะ สังเกตได้ง่าย เพราะทราบว่ามีส่วนประกอบอะไรบ้างในอาหารที่ป้อนลูก, ประหยัดค่าใช้จ่าย, มีความภูมิใจที่ได้ทำให้ลูกทาน

     ส่วนการใช้อาหารขวดสำเร็จรูปสำหรับทารกก็มีความสะดวกไม่ยุ่งยากในการเตรียม สามารถลองดูรสอาหารหลากชนิดได้ ฯลฯ

     ซึ่งอย่างไหนจะเหมาะสมกับคุณและลูก ก็แล้วแต่คุณเลือก
 

อาหารเสริมสุขภาพ,สมุนไพรบำรุงสุขภาพและไวตามินพิเศษจำเป็นแค่ไหนในเด็ก

     คุณพ่อ คุณแม่ หลายคนอาจจะได้อ่าน หรือได้ยินเรื่องเกี่ยวกับอาหารเสริมสุขภาพ, สมุนไพรหายากบางอย่าง หรือ ไวตามินพิเศษบางประเภทที่อ้างสรรพคุณว่าจะช่วยบำรุงสุขภาพ ทำให้ภูมิต้านทานต่างๆ นั้นดีขึ้น หรือทำให้ผู้ที่ทานนั้นมีสุขภาพแข็งแรง ไม่ป่วยไม่ไข้ไปตลอด บางรายอาจจะได้รับแรงหนุน จากเพื่อน และคนรู้จัก หามาให้ลองทานดู เลยอยากจะให้ลูกของตนได้ทานดูบ้าง เพื่อจะได้แข็งแรงโตเร็ว โดยเฉพาะในรายที่ลูกทานอาหารยากอยู่แล้ว จึงมักมีคำถามว่า จะให้เด็กทานสิ่งเหล่านี้ ได้มากแค่ไหน และจะมีอันตรายหรือไม่ ถ้าทานต่อเนื่องกันนานๆ

     อาหารเสริมสุขภาพที่มีขายกันทั่วไปนั้นมีหลายแบบ แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นไวตามิน, แร่ธาตุ, กรดอะมิโน, สมุนไพร และ ส่วนของพืชที่หายากบางอย่าง ซึ่งมักจะอยู่ ในรูปสารสกัดเข้มข้น, ผงแห้ง ฯลฯ โดยเป็นสารชนิดเดียว หรือ เป็นแบบรวมหลายชนิดด้วยกัน โดยมีวางขายทั้งแบบเม็ด,น้ำ,แคปซูล,เจล และผงบรรจุซอง

     อาหารเสริมสุขภาพเหล่านี้ มีความปลอดภัยแค่ไหน?

     ส่วนใหญ่ไม่มีใครทราบ ว่าการทานอาหารเสริมพิเศษเหล่านี้ ในปริมาณที่มากๆ และนานๆ จะมีอันตรายแค่ไหน และ จะมีผลข้างเคียงอย่างไรบ้าง เนื่องจากอาหารเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องผ่านการตรวจสอบแบบเข้มงวดอย่างที่ ทางองค์การอาหารและยา ทำการตรวจยาแผนปัจจุบันที่ใช้ในการรักษาโรค ทั้งนี้เพราะกฎหมายไม่ได้บังคับให้ต้องทำการจดทะเบียนเป็นยารักษาโรค แม้แต่ผลิตภัณฑ์ที่มีจำหน่ายกันในต่างประเทศที่ดูน่าเชื่อถือ เช่น ผลิตภัณฑ์ จากสหรัฐอเมริกา, สวิสเซอแลนด์ หรือ ญี่ปุ่น ฯลฯ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้ผ่าน การตรวจสอบอย่างเข้มงวดจากองค์การอาหาร และ ยาของประเทศนั้นๆ และ ได้มีการรับรองความปลอดภัยของ อาหารเสริม ที่มีขายอยู่ในประเทศของเขาทุกรายการ

     ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ ที่กำลังอยากจะหาทางลัดที่จะทำให้ลูกของตนเอง นั้นเป็นคนที่แข็งแรงพิเศษ ด้วยอาหารเสริมพิเศษเหล่านี้ ควรจะต้องคำนึงถึงไว้ด้วย

     สิ่งที่สำคัญอีกอย่างคือ เนื่องจากอาหารเสริมพิเศษเหล่านี้ มักจะมีราคาแพง และ อาจมีผู้นำเข้ามาขายในประเทศได้หลายทาง โดยไม่จำเป็นต้องมีตัวแทนจำหน่ายที่ชัดเจนคอยรับผิดชอบ เมื่อเกิดปัญหาต่างๆ ขึ้นจาก การใช้อาหารเสริมเหล่านี้ ทำให้มีการปลอมแปลง หรือปลอมปน โดยการทำบรรจุภัณฑ์ ให้ใกล้เคียงกัน ฯลฯ และ ใช้วิธีการขายที่เป็นช่องทางพิเศษต่างๆ ทำให้ผู้ซื้อไปด้วยความเชื่อว่าตนเอง ได้รับของพิเศษเหล่านี้ ในราคาที่ถูก (แต่ก็ยังแพง) เป็นพิเศษ

     อีกทั้งสรรพคุณของอาหารเสริมสุขภาพพิเศษเหล่านี้ มักจะฟังดูน่าเชื่อถือ เพราะมักจะ พูดถึงเรื่องการเจ็บป่วยที่คนทั่วไป ให้ความสนใจมากอยู่แล้ว เช่น ช่วยเรื่องภูมิแพ้, ช่วยป้องกัน มะเร็งบางชนิด รักษาโรค ที่รักษาไม่หายบางอย่าง และ มักจะมีคุณสมบัติเป็นยาอายุวัฒนะ ทำให้ แข็งแรงตลอดไป, ทำให้เป็นหนุ่ม เป็นสาว ไม่รู้จักแก่ ฯลฯ

     ทำให้คนทั่วไป เกิดความอยากลองซื้อหา มาทานดู ดังนั้นถ้าคุณเลือกที่จะทานอาหาร เสริมสุขภาพพิเศษเหล่านี้ ตามคำโฆษณา คุณก็เหมือนกับว่ายอมเป็นหนูตะเภาโดยไม่ได้ค่าตอบแทน หรือ การรับรองแต่อย่างไร

     เมื่อนำมาให้กับลูกที่รักของคุณ ก็เท่ากับคุณยอมให้ลูกคุณเป็นหนูตะเภาตัวน้อยๆ ในการนี้ด้วยซึ่งเมื่อเกิดผลข้างเคียงขึ้น กว่าจะรู้ก็อาจจะสายไปแล้ว สำหรับ สุขภาพที่ดีของลูกที่คุณรักและพยายาม ทนุถนอม

     อาหารเสริมเหล่านี้ ทำให้เด็กเป็นนักกีฬาที่เก่งขึ้นได้ไหม?

     ในวัยรุ่นที่กำลังสนใจกีฬา และ อยากเป็นผู้ชนะ ในกีฬาโปรดของตน ทำให้พยายามทุกอย่างที่จะทำให้ตนเองนั้นแข็งแรงกว่าคนอื่นๆ ทำให้มีการแอบใช้ยา ในกลุ่มฮอร์โมนเพศชาย เช่น แอนโดร สตีนไดโอน (Androstenedione) เพื่อทำให้มีกล้ามเนื้อที่แข็งแรง แต่สำหรับวัยรุ่น ที่ยังมีการเจริญเติบโตของร่างกายอย่างเต็มที่อยู่นั้น กลับจะมีผลเสียต่อวัยรุ่นผู้นั้น เนื่องจากทำให้เกิด สิว และ มีเต้านมใหญ่ขึ้น และ ในบางรายมีปัญหาเส้นเลือดหัวใจตีบได้

     ทำให้ในปัจจุบันมีการตรวจสารโด๊ป เหล่านี้ ในนักกีฬากันอย่างเข้มงวด เพื่อไม่ให้บรรดาวัยรุ่น เอาอย่างผู้ชนะในเกม การแข่งขันที่ได้มา โดยการใช้ยาโด๊ป และ ในความเป็นจริงแล้ว ยาโด๊ป เหล่านี้ ไม่ได้ทำให้ผู้ที่ใช้ยาเหล่านี้ กลายเป็นแชมป์ไปได้ ถ้าเขาผู้นั้นไม่ได้มีฝีมือ (หรือฝีเท้า) เก่งในกีฬาประเภทนั้นมากพอ หรือ แม้แต่การทานโปรตีนเม็ดเสริมที่มีกรดอะมิโนหลายชนิด ที่จำเป็นแก่ร่างกาย เพื่อเสริมสร้าง กล้ามเนื้อ ก็ไม่ได้ทำให้ ผู้ทานนั้นมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงขึ้นกว่าผู้ ที่ทานอาหาร ธรรมดาที่มี โปรตีน จากแหล่งอาหารธรรมชาติ เช่น เนื้อสัตว์, ไข่, ปลา, นม และ ถั่วต่างๆ ที่มี โปรตีน นานา ชนิดที่ได้สมดุลในการเสริมสร้าง ร่างกาย

     เนื่องจากความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ นั้นเกิดขึ้น จากการ ออกกำลังกายที่ถูกต้อง และ สม่ำเสมอมากกว่าการทานโปรตีนเม็ด

     อาหารเสริมพิเศษจะช่วย ทำให้สามารถลดน้ำหนักได้โดยที่ยังทำให้ฉันแข็งแรงได้ไหม?

     เด็กหญิงสาววัยรุ่น มักจะต้องการ ให้ตนเองมีรูปร่างผอมเพรียวอย่างดารา หรือนางแบบ จึงพยายามลดน้ำหนัก โดยการอดอาหาร และ ในหลายรายเลือกใช้ วิธีลัด โดยใช้ยาหรือ อาหารเสริมพิเศษเหล่านี้ มาทาน เช่น ยา, สมุนไพร ฯลฯ แต่ ในความเป็นจริงนั้น การพยายามอดอาหาร จนมากเกินไป และ ใช้ยาลดความอ้วน หรือ สมุนไพร นั้นมักจะไม่ได้ผล แต่กลับจะมีอันตราย เกิดขึ้น และ ในบางรายอาจทำให้ถึงเสียชีวิตได้ ดังที่มีข่าวปรากฏ ในหน้าหนังสือพิมพ์อยู่บ่อยๆ

     คุณพ่อ คุณแม่ จึงควรคอยสอดส่องดูลูก ที่อยากควบคุมน้ำหนัก ให้เขาได้ใช้วิธี การลดน้ำหนัก อย่างถูกต้อง โดยการเลือกทานอาหารธรรมชาติ ที่มีคุณค่าทางโภชนาการตามหลักวิชาการแพทย์ และ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งการปรับเปลี่ยนทัศนะคติ ที่เขามีต่อการกินอาหาร และ ความรู้สึกต่อตนเอง จะทำให้วัยรุ่นคนนั้นสามารถเจริญ เติบโตได้อย่างเต็มที่ และ ไม่มีปัญหาเรื่องอ้วนได้อย่างที่ ไม่เกิดอันตรายต่อตนเอง จะดีกว่าการเลือกทานอาหารพิเศษเหล่านี้

     การทานไวตามินมากๆ จะทำให้ลูกแข็งแรง และมีสมองที่ดีเรียนได้เก่งๆ จริงหรือ?

     ในบางครั้ง เด็กอาจจะ เลือกทานอาหาร ไม่กี่อย่าง เช่น ไม่ยอมทานผัก หรือ ไม่ยอมทาน เนื้อหมู ฯลฯ ทำให้ คุณพ่อคุณแม่กังวลว่าลูก จะไม่ได้รับไวตามิน และ เกลือแร่ ที่จำเป็นต่อร่างกาย ทำให้อยากให้ลูกได้ทานไวตามินเสริมบ้าง ซึ่ง ในแต่ละวัน ถ้าเราจะให้ลูกทานไวตามินรวม วันละครั้ง เช่น หนึ่งช้อน หรือ หนึ่งเม็ด ต่อวัน ก็น่าจะเพียงพอ

     คุณควรจะพยายามฝึกให้ลูกหัดทานอาหารที่มีความหลากหลายเพื่อให้ได้ สารอาหาร และ ไวตามินที่สมดุล แม้ว่าการให้ลูก ทานไวตามินรวมที่มี ขนาดของไวตามินแต่ละชนิด ในขนาดสูงเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ ในแต่ละวัน เช่น ไวตามินซี หรือ ไวตามินบี ซึ่งละลายในน้ำ จะสามารถขับออก ได้ดีทางปัสสาวะ จะดูว่าไม่มีอันตรายต่อร่างกาย แต่ในบางครั้ง การทานไวตามินรวม ที่มีขนาดสูงๆ อาจมี อันตรายได้เพราะไวตามิน ชนิดที่ละลายในไขมัน เช่น ไวตามิน เอ, ดี, อี, เค นั้นจะ สะสมในร่างกาย จนเกินขนาดถึงเป็นอันตรายได้ เช่น ทำให้เกิดความดันสูงในสมอง, ตาพร่ามัว, ผมร่วง, และ มีผลทำลายตับได้ โดยเฉพาะการทานยาบางอย่างร่วมด้วย เช่น วัยรุ่นที่ทานยารักษาสิว ชนิดกรด เรตินออิก ซึ่งเป็นไวตามิน เอ ประเภทหนึ่ง ร่วมกับการทานไวตามินรวม หรือ น้ำมันตับปลา (ซึ่งมีไวตามินเอ และ ดี สูง) ทำให้ เกิดภาวะเป็นพิษ จากการสะสม ของไวตามิน เอ ในร่างกาย ได้ง่ายๆ (vitamin A intoxication)

     ดังนั้น ในการทานอาหาร เสริมพิเศษ หรือ สมุนไพรพิเศษ ฯลฯ เหล่านี้ เพื่อบำรุงสุขภาพของคุณ และ ลูกที่รักของคุณนั้น คุณควรที่จะถามตนเองให้แน่ใจก่อนว่า คุณกำลังทำอะไรอยู่ การรับฟัง แต่เพียงคำโฆษณาที่เลอเลิศ หรือ หวังผลวิเศษต่างๆ โดยทางลัด ด้วยการใช้สารเหล่านี้ ถ้าฟังดูแล้วมันน่าจะดีมากเกินจริง ก็น่าจะเป็นไปได้ว่าคุณกำลังจะโดนหลอก โดยเฉพาะในเรื่องผลของ อาหารเสริม และ สารพิเศษ เหล่านี้ ที่มีการกล่าวอ้างสรรพคุณกันอย่างครึกโครมในอินเตอร์เนตนั้น ยิ่งต้องระวัง
อาหารสะอาด ปลอดภัย

     การรณรงค์ ให้คนไทยได้ ตระหนักถึงการบริโภคอาหารที่สะอาด และปลอดภัย มีความสำคัญมาก เนื่องจากสุขอนามัยของคนเรานั้น ไม่ได้ขึ้น อยู่กับการบริโภคอาหารที่มีคุณค่า ทางด้านโภชนาการ เช่น โปรตีน ไขมัน ไวตามิน เท่านั้น แต่อาหารที่ดีจะต้องสะอาด และปลอดภัยต่อผู้บริโภคด้วย
Image

     สำหรับคุณพ่อ คุณแม่ที่กำลังเตรียมอาหารเสริมต่างๆ ให้ลูกน้อยของคุณก็มักจะมุ่งเน้นด้านคุณค่าทางโภชนาการ และ กังวลว่าลูกจะชอบทานหรือไม่หรือลูกจะทานได้มากพอ หรือไม่แต่หลายต่อหลายครั้ง อาจจะมองข้ามด้านความสะอาด และปลอดภัยของอาหารที่คุณกำลังจะป้อนให้แก่ลูกน้อยของคุณ ซึ่งจะขอรวบรวมแง่คิดและ ข้อแนะนำต่างๆ ที่จะทำให้ อาหารที่คุณเตรียมให้ลูกน้อยนั้นสะอาดปลอดภัย และมีคุณค่าทางอาหารที่ดีเหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของเด็ก มาไว้ ณ ที่นี้

     การที่อาหารต่างๆจะมีความสะอาดปลอดภัยนั้น เริ่มต้นมาก่อนที่คุณจะ นำอาหารหรือส่วนประกอบอาหารต่างๆ เข้ามาในบ้าน เช่น

 #1. เลือกซื้ออาหารสดจากแหล่งขายอาหารที่มีมาตรฐานด้านความสะอาด ปัจจุบันด้วยความสะดวกของร้านประเภทซุปเปอร์มาร์เกตทำให้คนนิยมจ่ายตลาดกันในห้าง จึงควรสังเกตดูลักษณะของอาหารสด เช่น หมูสับ เนื้อไก่ ผัก ฯลฯ ว่ามี สีสันที่ยังดูสด และได้รับการเก็บในที่เย็นดีพอหรือไม่ หมูสับ ควรมีสีที่ดูแดงสดมากกว่าที่จะดูอมน้ำตาลหรือไม่มีกลิ่นเหม็นผิดปกติ รวมทั้งดูวันที่ผลิตหรือวันหมดอายุ ให้แน่ใจว่ายังไม่เลยที่กำหนดไว้ แม้แต่ของแห้งที่มีบรรจุภัณฑ์ที่ดูดี ก็เช่นกัน ถ้ามีลักษณะของ กระปํองหรือกล่องที่ดูผิดปกติไปก็ควรระวัง

#2. ขั้นตอนการนำอาหารกลับบ้านก็สำคัญเช่นกัน
เนื่องจากปัจจุบันการจราจรในเมืองนั้น บางครั้งติดขัดนานทำให้อาหารสดที่เพิ่งซื้อมาใส่ไว้ ในรถ แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง เมื่อไม่ได้รับการเก็บในที่เย็นที่เหมาะสม ก็จะ เริ่มบูดเสียได้ ในกรณีเช่นนี้ คุณควรเตรียมแผนการซื้อของสดให้ดี เช่น ซื้อจากร้านที่อยู่ใกล้บ้าน และ เลือกเวลาเดินทางที่สะดวก และในกรณีที่ต้องใช้เวลานานกว่า จะถึงบ้านก็ควร พิจารณาหาถังคูลเลอร์ หรือ กล่องโฟมใหญ่ที่จะ ใช้ใส่อาหารสด เพื่อช่วยถนอมอาหารให้อยู่ ในสภาพที่เย็นได้นานพอที่จะ ถึงบ้านได้

#3. วิธีการเก็บอาหารที่บ้านก็มีความสำคัญมากเช่นกัน
เมื่อถึงบ้านแล้ว ตอนที่เตรียม เก็บอาหารสดเหล่านี้เข้าตู้เย็นก็ควรจะทำการ ล้างภาชนะ และ เตรียมที่เก็บให้สะอาด และ เรียบร้อย ตู้เย็นควรมีการปรับอุณหภูมิให้เย็นอย่างน้อย < 5 องศาเลเซียส ส่วนในช่องแช่แข็งก็ควรจะอย่างน้อย < 0 ( ถึงติดลบ ) องศาเชลเซียส และ ไม่ควรจะเปิดตู้เย็นอ้าไว้บ่อยๆ เพราะทำให้ความเย็นภายใน ตู้จะไม่ต่ำเท่าที่ตั้งไว้ เชื้อแบคทีเรียหลายชนิด จะสามารถแบ่งตัวได้ดี แม้อยู่ในที่เย็น เช่น ประมาณ 7-8 องศา ขึ้นไป ทำให้อาหารที่เก็บไว้มีโอกาสบูดได้ แม้ว่าเวลาเอาออกมาจากตู้เย็นจะยังรู้สึกว่าอาหารยังเย็นและยังดูดีอยู่

#4. ไม่ควรเก็บไข่ไก่สด ไว้ที่ฝาตู้เย็น เป็นเวลานานหลายสัปดาห์ เพราะ ฝาตู้เย็นสมัยใหม่บางรุ่น จะมีระบบระบายความร้อนมาทำให้ผนังตู้เย็นอุ่น และการเปิดปิดตู้บ่อยๆ ก็ทำให้บริเวณฝาตู้เย็นที่เก็บไข่ไก่สด อาจจะไม่เย็นจัดทำให้ไข่ไก่มีเชื้อแบคทีเรียเจริญเติบโตได้เช่นกัน ซึ่งถ้านำมาใช้ทำอาหาร เช่น ไข่ลวก หรือ ไข่ดาวที่ไม่ค่อยสุก ก็จะทำให้ผู้ทานไข่นั้นเกิดการติดเชื้อท้องเสียได้ เวลาที่ซื้อไข่ไก่มาใหม่ ควรตรวจดูว่ามีเปลือกไข่ร้าวหรือแตกบ้างหรือไม่เพราะไข่เหล่านี้จะยิ่งมีโอกาสเสียได้ง่าย

#5. อาหารสดประเภท เนื้อสัตว์ เช่น หมูบด ไก่ ปลา ฯลฯ ถ้าจะเก็บไว้ ในตู้เย็นธรรมดา ไม่ควรเก็บเกิน 2 วัน ในกรณีที่ซื้อมาเยอะ และ อาจไม่มี โอกาสทำอาหารได้ทั้งหมดในคราวเดียว ควรล้างให้สะอาด และ แบ่งเก็บใส่ในภาชนะที่สามารถแช่เข็งได้ เก็บไว้ในช่องแช่แข็ง และ ควรจะ มีการเขียนวันที่กำกับ ไม่ควรแช่แข็งไว้นานเกิน 3-4 เดือน

#6. อาหารประเภท เนื้อสัตว์ ที่นำมาปรุงอาหารแล้ว (สุกแล้ว) ถ้าเก็บไว้ในตู้เย็น ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้นานเกิน 3- 4 วัน ควรเก็บอาหารที่ปรุงเสร็จแล้วเข้าตู้เย็นโดยเร็ว ไม่ควรทิ้งอาหารที่ปรุงสุกแล้วและรับประทานไม่หมด ให้อยู่ในอุณหภูมิห้องอยู่เป็น เวลานานหลายชั่วโมง เพราะ ในบ้านเรา นั้นอากาศค่อนข้างร้อน ทำให้อาหารเสียได้เร็วในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ( เช่น ข้าวกล่อง แซนวิช สลัดผัก ฯลฯ ที่เตรียมไว้แต่เช้า พอเอาไปทานข้างนอกตอนเที่ยงก็อาจจะบูดเสียได้ง่ายๆ )

#7. อาหารที่เก็บในตู้เย็น แม้ว่าจะเป็นของแห้งก็อาจมีราขึ้นได้ง่ายๆ
เช่น ขนมปัง กุนเชียง ฯลฯ ซึ่งรา เหล่านี้มีอันตรายได้ถ้ารับประทานเข้าไป แม้จะทำให้อาหารนั้นสุกอีกครั้งก็ตาม จึงควรทิ้งอาหารที่มีราขึ้นไป อย่าได้เสียดายนำมาทำอาหารทานอีก

การเตรียมอาหาร โดยผู้เตรียมและ สถานที่ในครัวที่ใช้เตรียมอาหาร รวมทั้งภาชนะที่ใช้ก็เป็นสิ่งที่จะ มองข้ามไม่ได้

# ผู้เตรียมอาหารควรหมั่นล้างมือให้สะอาด ก่อนการลงมือเตรียมอาหารไม่ควรใช้ผ้าเช็ดมือที่ใช้ซ้ำๆ หรือใช้ผืนเดียวกับผ้าที่ใช้เช็ดโต๊ะ หรือหยิบจับภาชนะร้อน เพราะ ผ้าเหล่านี้จะเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคได้

# ภาชนะ ต่างๆ ที่ใช้ในครัวรวมถึง จาน ชาม และ เขียง ที่ใช้หั่นอาหาร ควรได้รับการล้างทำความสะอาด ด้วยน้ำยาล้างจาน ที่เหมาะสม เช่น ไม่ควรใช้ผงซักฟอกมาล้างจาน ไม่ควรล้างจานแล้ววางกับพื้น ควรล้างด้วยน้ำเปล่าให้สะอาด ก่อนที่จะนำมาวางผึ่งให้แห้ง และ เมื่อภาชนะเหล่านี้แห้งดีแล้ว ก็ควรเก็บเข้าตู้เก็บ หรือ มีฝาครอบปิดเพื่อกันแมลงวัน หนู แมลงสาป หรือ จิ้งจก ซึ่งอาจนำเชื้อโรคมาให้มาสัมผัสกับภาชนะที่ล้างทำความสะอาดแล้ว

 # อาหารที่นำออกมาจากช่องแช่แข็งควรใช้ ไมโครเวฟ ในการทำให้ความเย็นแข็งละลาย หรือ นำออกมาไว้ในตู้เย็น ช่องเย็นธรรมดาจนความเย็นแข็งละลาย และ ควรจะ นำมาทำให้สุกใหม่อีกครั้ง ก่อนรับประทาน ไม่ควรนำออกมาทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้อง แล้วนำไปรับประทานเลย

# พยายามดูแลให้พื้นที่ในครัวนั้นสะอาด การเตรียมอาหารสดอย่างอื่นๆ ในระหว่างการปรุงอาหาร ก็ต้องระวังอย่าให้ เกิดการปนเปื้อนกับอาหารที่เตรียมสุกพร้อมทานแล้ว

#ควรให้ความสำคัญกับการเก็บเศษอาหารหรือขยะทิ้งให้มิดชิด ไม่เป็นแหล่งเพาะแมลงวัน หรือ แมลงสาป หนู ฯลฯ ในครัว และในบ้าน
Image

นอกจากนี้ก็มี ข้อแนะนำเกี่ยวกับเรื่องการให้อาหารในเด็กเล็กว่าคุณพ่อคุณแม่ควรต้องคำนึงมากเป็นพิเศษ ก็คือปัญหาการแพ้สารอาหาร และ การสำลักอาหาร เนื่องจากระบบการย่อย และ ระบบภูมิคุ้มกันในเด็กเล็ก นั้นจะมีโอกาสเกิดปัญหาเหล่านี้ ได้ง่าย ปัญหาการแพ้สารอาหารนั้นพบ ได้บ่อยๆ เช่น การเริ่มอาหารทะเลโดยเฉพาะ พวกที่มีเปลือกแข็ง เช่น กุ้ง ปู หอย ปลาหมึก ในเด็กเล็กน้อยกว่า 1 ขวบ จะมีโอกาสเกิดการแพ้ได้ง่ายรวมถึง ไข่ขาว ถั่วลิสง ที่อาจเกิดการแพ้ได้เช่นกัน

     หลายต่อหลายครั้ง ผู้ใหญ่ที่ให้อาหารแก่เด็กทานก็อาจจะไม่ทราบว่า เด็กจะแพ้ หรือ ไม่ทราบว่าอาหารที่กำลังให้ เด็กทานอยู่นั้นมีสารก่อแพ้ปนอยู่ด้วย เช่น เด็กที่แพ้ไข่ขาวแต่แม่ให้ทานเต้าหู้ไข่ หรือ ทานขนมเค็ก ซึ่งทำมาจากไข่ทั้งฟอง และ มีไข่ขาวอยู่ด้วย เด็กก็จะเกิดอาการแพ้ขึ้นได้ หรือ เด็กที่แพ้นมวัวแต่ได้ทานคุ๊กกี้ ไอศกรีม ช็อคโกแลต ซึ่งทำจากนมวัว ก็จะเกิดอาการแพ้ได้ หรือ เด็กที่แพ้อาหารทะเล แต่แม่เอาน้ำซุป ที่ต้มสุกี้กุ้ง มาทำเป็นข้าวตุ๋น สำหรับเด็ก แม้ว่าเด็กจะ ไม่ได้ทานเนื้อกุ้ง แต่ได้น้ำซุปก็เกิดอาการแพ้ได้เช่นกัน

     ใน สหรัฐอเมริกาเคยมี รายงานว่ามีเด็กที่ แพ้ถั่วลิสง รุนแรงจนถึงเสียชีวิต จากการไปงานวันเกิดเพื่อน และได้ทานแซนวิช ที่มีการทาขนมปัง ด้วยเนยถั่ว (peanut butter)

     การสำลักติดคอ ก็เช่นกัน บางครั้งอาจเป็นจากการป้อนคำใหญ่ไป หรือนอนป้อน หรือเด็กเล่นไปด้วย หัวเราะไปด้วย ขณะที่ป้อนอาหาร ถ้าผิดจังหวะก็จะเกิดการ สำลักติดคอได้โดยง่าย ซึ่งถ้าช่วยเหลือไม่ทัน ก็จะทำให้เสียชีวิตได้ เช่น การทานเจลลี่หลอด การทานไส้กรอก เด็กเล็กที่กำลังมีฟันและกัดเคี้ยวเป็นจะกัดเป็นชิ้นกลมๆ ขนาดพอเหมาะ ที่จะติดคอได้ง่ายๆ จึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษด้วย

ลักษณะอาหารเสริมของลูกวัย 6 เดือน- 3 ปี
Image
อายุ 6 เดือน ลักษณะอาหารเสริม

     อาหารบดละเอียด เช่น ปลาตุ๋นสาคู ข้าวบดตำลึงปลาช่อน ข้าวบดฟักทองกับตับหมู ฯลฯ ซึ่งให้แทนนมแม่ได้ 1 มื้อ และอาจให้ผลไม้เป็นอาหารว่างได้ 1 มื้อ ซึ่งควรเป็นผลไม้ที่มีลักษณะนุ่ม ย่อยง่าย เช่น มะละกอสุก องุ่น มะม่วงสุก ส่วนกล้วยบดสามารถให้ได้ตั้งแต่ลูกอายุ 4 เดือน

อายุ 7 เดือน ลักษณะอาหารเสริม

     ฟันลูกเริ่มขึ้น ควรให้อาหารที่ข้นและหยาบขึ้น เช่น เนื้อสัตว์สับหยาบ ผสมผักต้มสุก พร้อมกับผลไม้สุกเนื้อนิ่มเป็นอาหารว่าง 1 ครั้ง วันละ 1 มื้อ

อายุ 8 - 9 เดือน ลักษณะอาหารเสริม

     ควรให้เนื้อสัตว์สับหยาบเช่นเดือนที่ 7 เช่น เนื้อหมู เนื้อไก่ โดยเพิ่มปริมาณมากขึ้น สามารถกินอาหารเสริมแทนนมวันละ 2 มื้อได้

อายุ 10 - 12 เดือน ลักษณะอาหารเสริม

     ลูกสามารถกินอาหารหยาบมากขึ้นได้ ควรเปลี่ยนจากอาหารบดและสับ มาเป็นอาหารอ่อนนิ่มชิ้นเล็กๆ ธรรมดาได้ เช่น โป๊ยเซียนมะกะโรนี ราดหน้าลูกชิ้นถั่วเหลือง วุ้นเส้นราดซอสแครอท ฯลฯ กินเป็นอาหารหลัก 3 มื้อแทนนมได้ และมีผลไม้เป็นอาหารว่าง 1 มื้อ
Image
อายุ 1-3 ปี ลักษณะอาหารเสริม

     หัดให้กินข้าวสวยหุงนิ่มเหมือนผู้ใหญ่ได้แล้ว อาหารของลูกวัยนี้ควรยังเป็นรสอ่อนแบบเด็ก ไม่ควรปรุงรส เช่น บาบีคิวลูกชิ้นกุ้ง เกี๊ยวกรอบน้ำแดง ฯลฯ และควรให้อาหารว่างระหว่างมื้อด้วย เช่น น้ำผลไม้กับแพนเค้ก ผลไม้ที่ลูกชอบ เช่น มะม่วงสุก ส้ม แอปเปิ้ล ฝรั่ง ฯลฯ

นพ.ประสงค์ พฤกษานานนท์
คลินิกเด็ก.คอม