วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554

บทความพิเศษสำหรับเด็กอนุบาล

บทความพิเศษสำหรับเด็กอนุบาล

บทความสำหรับเด็กอนุบาล

หลักในการเลือกโรงเรียนอนุบาลสำหรับลูก

ได้มีการศึกษาถึงปัจจัยที่ผู้ปกครองใช้ในการเลือกโรงเรียนอนุบาลเอกชน ให้บุตรหลานเข้าเรียน และความคาดหวังของผู้ปกครอง เกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนอนุบาลเอกชน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน ซึ่งกลุ่มตัวอย่างเป็น ผู้ปกครองของโรงเรียนอนุบาลเอกชนในเขตกรุงเทพ โดยการสุ่มและใช้แบบสอบถามเพื่อทำการวิเคราะห์ ซึ่งผลการวิจัยเป็นดังต่อไปนี้ ปัจจัยในการตัดสินใจเลือกโรงเรียนอนุบาลสำหรับลูกๆ คือ ปัจจัยเกี่ยวกับโรงเรียน ครูผู้สอน ประสบการณ์การสอน การบริหารความปลอดภัย การบริการอาหารและสุขภาพของเด็กอนุบาล การสร้างความสัมพันธ์ำกับผู้ปกครอง และค่าใช้จ่ายต่างๆโดยเฉพาะค่าเทอม
อ่านบทเพิ่มเติม - หลักการในการเลือกโรงเรียนอนุบาลสำหรับลูก
การเลือกหาโรงเรียนอนุบาลที่ ดีให้ลูกๆ จะเป็นพื้นฐานที่ดีในการเตรียมตัวลูกของคุณ ในการเข้าเรียนต่อในชั้นประถมปีที่ 1 โดยเฉพาะในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยม คุณพ่อคุณแม่นอกจากจะต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับโรงเรียนแล้ว ยังต้องเตรียมตัวลูกๆของคุณให้พร้อม สำหรับการเรียนในโรงเรียนแห่งใหม่ แม้ลูกๆของคุณอาจจะไม่แสดงการกลัวการไปโรงเรียนใหม่ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีปัญหาเมื่อลูกของคุณไปโรงเรียนจริง เพราะการเรียนในชั้นอนุบาล จะแตกต่างจากชั้นเรียนประถม ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรใช้เวลาปรับตัวลูกๆของคุณ ใน 5 เรื่องที่สำคัญดังนี้
ข้อมูลเกี่ยวกับโรงเรียนอนุบาล โรงเรียนประถม
เราได้รวบรวมสื่อการเรียนรู้สำหรับเด็กในวัยต่างๆ ทั้งวัยอนุบาล วัยประถม ทั้งสื่อการเรียนภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ซึึ่งเราหวังว่า เวบไซต์ของพวกเราจะเป็นแหล่งข้อมูลที่ครบถ้วน สำหรับคุณพ่อคุณแม่ไฮเทคในปัจจุบัน พวกเราพยายามมุ่งเน้นและนำเสนอสิ่งต่างๆ ที่พวกเราคิดว่า จะช่วยเสริมสร้างภูิมิคุ้มกันที่ดีสำหรับเด็กอนุบาล และเด็กประถม ในสังคมที่เราเผชิญในปัจจุบัน
การเตรียมตัวเด็กอนุบาลเพื่อสอบเข้า ป.1

การเตรียมตัวเด็กอนุบาลเพื่อสอบเข้า ป.1

เตรียมตัวเด็กอนุบาลเพื่อสอบเข้า ป.1
1. การเตรียมตัวให้ลูกเข้ากับสังคมใหม่
ลูก ควรจะเรียนรู้ในการแสดงออก และการควบคุมอารมณ์ ซึ่งสามารถเรียนรู้ได้ผ่านความสัมพันธ์ภายในครอบครับ โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับคุณพ่อคุณแม่ การเลี้ยงดูเอาใจใส่ลูกก็จะช่วยให้เด็กเข้าใจและสามารถเข้ากับสังคมใน โรงเรียนแห่งใหม่ได้ดีขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นคุณพ่อคุณแม่ควรจะสอนให้เด็กบอกสิ่งที่เข้าต้องการ ให้เป็นที่เข้าใจของคนรอบข้าง อาทิเช่น บอกความต้องการเมื่อรู้สึกหิว บอกความต้องการเมื่อต้องการปัสสาวะ
อ่านบทความเพิ่มเติม - การเตรียมตัวเด็กอนุบาลเพื่อสอบเข้า ป.1
ข้อมูลเกี่ยวกับโรงเรียนอนุบาล
แนะนำหนังสือสำหรับเด็กอนุบาล
การฝึกทักษะต่างๆที่สำคัญ ให้กับเด็กเล็ก เด็กอนุบาล เด็กประถม

การเสริมทักษะอื่นให้กับเด็กอนุบาลและเด็กประถม

การเสริมทักษะอื่นๆให้กับเด็กเล็ก เด็กอนุบาล เด็กประถม
การเสริมทักษะในด้านต่างๆนอกจาก ด้านการศึกษา เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับในปัจจุบัน เืพื่อที่จะทำให้เด็กๆมีความสามารถหลากหลาย หรือเป็นการสนับสนุนสิ่งที่เด็กชอบหรือถนัด เช่น การวาดรูป เล่นดนตรี ร้องเพลง รำไทย เป็นต้น และยังมีสิ่งที่ช่วยเสริมทักษะด้านร่างกายสำหรับเด็กเล็ก เด็กอนุบาล นั่นคือการออกกำลังกาย การเล่นกีฬา ซึ่งกีฬาส่วนใหญ่ควรจะต้องฝึกฝนตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เช่น กอล์ฟ ฟุตบอล ยิมนาสติก ว่ายน้ำ โดยเฉพาะกีฬาว่ายน้ำนอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังเป็นสิ่งสำคัญที่อาจจะทำให้เด็กๆสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เมื่อเกิดอุบัติเหตุทางน้ำ
อ่านบทความเพิ่มเติม - การเสริมทักษะอื่นๆ ให้กับเด็กอนุบาล และเด็กประถมวัย

หนังสือภาพประกอบคำคล้องจองพัฒนาทักษะ การพูดและภาษาสำหรับ เด็กปฐมวัย

หนังสือภาพประกอบคำคล้องจองพัฒนาทักษะ การพูดและภาษาสำหรับ เด็กปฐมวัย

หนังสือภาพประกอบคำคล้องจองพัฒนาทักษะ
การพูดและภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย



บุญครอง ร่วมชาติ / เรื่อง
ฤทธี       สน สวย / ภาพ



ฉันมีย่าปู่                 คอยดูแลฉัน
พ่อแม่เหมือนกัน           ทุกท่านเมตตา




ชีวิต เป็นอยู่           เช้า ตรู่ตื่นมา
พวกเราพร้อมหน้า     ต่าง พาทำงาน





แม่ทำ กับข้าว       ลูกสาวกวาด บ้าน
ไม่เคยเกียจคร้าน      กับงานของตัว





คุณ พ่อที่รัก         ปลูกผัก สวนครัว
ฟักแฟงแตงถั่ว         ไม่กลัวอดตาย





พี่ ชายคนโต         ปล่อยโค ก่อนสาย
กินหญ้าเรียงราย      อยู่ชายทุ่งนา




ปู่เหลาไม้ไผ่        ทำไซดักปลา
น้องเล็กตื่นมา          ล้างหน้าแปรงฟัน



ย่านั่งรอพระ        ไม่ละเลยนั่น
ใส่บาตรทุกวัน          ขยันทำบุญ






เราเป็นคนดี        ตามที่ครูสอน
กราบพระขอพร       ก่อน นอนทุกวัน

4 Responses to “หนังสือภาพประกอบคำคล้องจองพัฒนาทักษะ การพูดและภาษาสำหรับ เด็กปฐมวัย”

มองภาษาไทยผ่านพัฒนาการสมองของเด็กปฐมวัย

มองภาษาไทยผ่านพัฒนาการสมองของเด็กปฐมวัย

วันที่ 23 ก.ค. 2553 (จำนวนคนอ่าน 1775 คน)
สำนักประชาสัมพันธ์เขต 4
ภาษา ไทยเป็นภาษาประจำชาติที่มีเอกลักษณ์ ซึ่งคนไทยควรต้องอนุรักษ์ภาษาไทยกันไว้ แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีการแบ่งกลุ่มความรู้ความเข้าใจในภาษาไทยตามเนื้อหา วิชาการและแยกกันศึกษาค้นคว้า ทั้งด้านภาษาศาสตร์ ศิลปศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และศาสตร์อื่น ๆ แต่ด้วยความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของสมอง ทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องภาษาเกิดขึ้นเป็น อย่างมาก และเห็นความเชื่อมโยงระหว่างวิทยาการด้านต่าง ๆ ผ่านการศึกษาและพัฒนาการด้านภาษาและสมองของเด็ก

เคยสังเกตไหมว่า ทำไมเด็กที่เกิดมาจึงสามารถพูดคุยภาษาไทยได้ เพราะคนไทยทุกคนไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ สามารถใช้ภาษาไทยพูดคุยโต้ตอบระหว่างกันได้โดยไม่ต้องการการเรียนรู้อย่าง เป็นระบบ เมื่อเกิดมาในสภาพแวดล้อมที่มีการใช้ภาษาไทยสื่อสารกันเป็นประจำ ซึ่งเด็กทารกจะค่อย ๆ เรียนรู้ จดจำ และพูดเป็นคำในภาษาไทยได้เมื่ออายุประมาณ 1 ขวบ เช่นเดียวกันกับเด็กทั่วโลก ที่ไม่ว่าจะเกิดในสังคมที่ใช้ภาษาใด ก็จะสามารถพัฒนาความเข้าใจและใช้ภาษาพูดตามวัยได้ในช่วงอายุใกล้เคียงกัน อย่างไรก็ตาม เด็กกลุ่มด้อยโอกาสหรือที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการพัฒนาทางภาษา มักมีพัฒนาการทางภาษาล่าช้าตั้งแต่ในช่วงปฐมวัย

จากผลการสำรวจพัฒนาการเด็กปฐมวัยในประเทศไทยโดยกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งประเมินโดยใช้แบบคัดกรองและทำมาทั้งหมด 3 ครั้ง ครั้งล่าสุดคือในปี พ.ศ. 2550 พบว่า พัฒนาการด้านภาษาของเด็กไทยมีความล่าช้ามากกว่าด้านอื่น ๆ อย่างชัดเจน โดยมีตัวเลขอยู่ที่ร้อยละ 22 นั่นแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการที่เกิดขึ้น ซึ่งจะมีผลกระทบตามมาต่อตัวเด็กเองในอนาคตผลกระทบของการมีภาษาล่าช้าในเด็ก ช่วงปฐมวัย

เมื่อกล่าวถึงเรื่องเด็กพูดช้าหรือมีภาษาพัฒนาล่าช้า คนส่วนใหญ่อาจไม่เห็นว่าเป็นปัญหาสำคัญ เพราะเด็กส่วนมากมักจะค่อย ๆ พูดได้หรือเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ได้ในที่สุด แม้จะช้ากว่าเด็กในวัยเดียว กันไปบ้างก็ตาม ซึ่งจากผลการศึกษาติดตามเด็กในระยะยาวจากช่วงปฐมวัยจนเข้าสู่วัยเรียนพบว่า แม้เด็กส่วนหนึ่งจะมีพัฒนาการที่ดีขึ้นจนไม่ต่างจากเด็กวัยเดียวกัน แต่มีเด็กจำนวนครึ่งหนึ่งหรือ 2 ใน 3 ที่ยังคงมีพัฒนาการทางภาษาล่าช้าเมื่อเข้าสู่วัยเรียน และมักจะมีผลกระทบต่อการเรียน หรือมีความบกพร่องของทักษะทางสังคม เนื่องจากไม่สามารถใช้ภาษาพูดเพื่อสื่อสารกับผู้อื่นได้อย่างเป็นปกติ

เนื่องด้วยพัฒนาการทางภาษาล่าช้าเป็นปัญหาของเด็กปฐมวัยที่พ่อแม่มักนำมา ปรึกษาแพทย์ จึงทำให้มีการศึกษาวิจัยอย่างกว้างขวางทั้งในประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ หากไม่นับรวมปัญหาที่เกิดจากความผิดปกติทางการแพทย์ เช่น โรคทางสมอง หรือพันธุกรรม ที่มีผลกระทบต่อพัฒนาการของสมอง ภาวะความบกพร่องทางสติปัญญาที่เกิดจากสาเหตุต่าง ๆ หรือกลุ่มอาการ ออทิสติก ปัญหาพัฒนาการทางภาษาล่าช้าในกลุ่มเด็กที่ไม่พบสาเหตุที่ชัดเจน มักเกิดจากปัจจัยทางด้านพันธุกรรมที่ถ่ายทอดกันในครอบครัว ร่วมกับปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการพัฒนาการเตรียมความพร้อม เรื่องการอ่าน

จากข้อสรุปผลการวิจัยในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก ได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ที่ทำการศึกษาทั้งในกลุ่มเด็กที่มาพบแพทย์ในสถานบริการ และเด็กทั่วไปในชุมชนหรือโรงเรียน พบว่าระบบเสียงในภาษาอังกฤษเป็นองค์ประกอบสำคัญที่เชื่อมโยงระหว่างภาษาพูด และการเริ่มหัดอ่านในเด็ก ทำให้ในระยะหลังมีการปรับแนวทางการสอนให้เด็กอ่านออกเขียนได้ใหม่ โดยใช้วิธีการที่ช่วยพัฒนาให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างระบบเสียงกับ สัญลักษณ์หรือตัวอักษรในภาษาอังกฤษ

ด้วยความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยเฉพาะเมื่อมีเครื่องมือที่สามารถศึกษาการทำงานของสมองเด็กขณะกำลังทำสิ่ง ใดสิ่งหนึ่ง นำไปสู่ความเข้าใจในเรื่องความสำคัญของการเชื่อมโยงดังกล่าวในสมองเด็กที่ กำลังพัฒนา และเมื่อเด็กกลุ่มที่มีความบกพร่องทางด้านการอ่านได้รับการสอนด้วยเทคนิคที่ อิงกับระบบเสียงในภาษา นอกจากจะเห็นผลสัมฤทธิ์ด้านการอ่านที่ดีขึ้นแล้ว ผลการศึกษาของสมองยังพบว่า สมองบริเวณที่เกี่ยวข้องกับการอ่านทำงานเชื่อมโยงได้ดีขึ้นกว่าเดิมอย่าง ชัดเจน ในปัจจุบันแนวทางการสอนดังกล่าวจึงไม่เพียงแต่ถูกนำมาใช้เพื่อช่วยเหลือเด็ก กลุ่มที่มีปัญหาเท่านั้น แต่ยังกำหนดให้เป็นแนวทางหลักในการสอนเพื่อหัดอ่านหนังสือสำหรับเด็กปกติ ทั่วไป แม้การศึกษาวิจัยส่วนมากจะทำในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักก็ตาม

ส่วนการศึกษาวิจัยเรื่องปัญหาการอ่านของเด็กไทย ส่วนมากจะศึกษาทักษะในด้านที่เกี่ยวข้องกับผลสัมฤทธิ์ด้านการอ่านโดยรวม แต่ยังขาดการนำความรู้ความเข้าใจเรื่องหลักการพื้นฐานของการทำงานของสมอง มาเชื่อมโยงกับระบบเสียงในภาษาพูด ในอดีตการสอนเรื่องอ่านเขียนภาษาไทยในระบบการศึกษา เคยอิงหลักพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับระบบเสียงอยู่บ้าง ได้แก่ การสอนให้เด็กรู้จักหลักการการสะกดคำอย่างแม่นยำตั้งแต่เริ่มแรก ต่อมามีการปรับวิธีการสอนตามแนวทางที่เกิดขึ้นในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็น ภาษาแรก ซึ่งเป็นที่มาของวิธีการสอนการอ่านดังที่ปรากฏในหลักสูตรของกระทรวง ศึกษาธิการในช่วงหลัง วิธีการสอนดังกล่าวจะเน้นการเห็นและจดจำรูปคำมากกว่าการเน้นความเชื่อมโยง กับระบบเสียง

นอกจากทักษะการสะกดคำที่เคยเป็นหลักการสอนภาษาไทยในอดีต การท่องอาขยานหรือบทร้อยกรองยังเป็นการเตรียมทักษะความพร้อมให้แก่เด็กช่วง ปฐมวัยได้เป็นอย่างดี ความรู้ที่เกิดจากการสังเกตและการสรุปบทเรียนในอดีต จึงเกิดการเรียบเรียง บทอาขยานต่าง ๆ มากมายให้เด็กได้หัดเรียนรู้ท่องจำ การฟังและพูดคำคล้องจองเป็นการพัฒนาทักษะความพร้อมพื้นฐานเพื่อการอ่าน ซึ่งมีทั้งในภาษาไทยและในภาษาอังกฤษ ดังนั้น การท่องบทอาขยาน คำกลอน ฟังหรือร้องเพลง หรืออื่น ๆ ที่มีคำคล้องจองในลักษณะเดียวกัน จึงไม่ใช่เพียงการอนุรักษ์ภาษาไทย แต่เป็นการส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษาให้เด็กในสังคมให้มีความพร้อมสำหรับการ เรียนเขียนอ่านภาษาไทยได้อย่างเข้าใจ

ด้วยเหตุนี้ทางคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้รับการสนับสนุนให้พัฒนาโครงการเพื่อการพัฒนาศักยภาพประชากรไทยจากพื้นฐาน ความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะช่วยแก้ปัญหาพัฒนาการทางภาษาล่าช้าของเด็กในสังคม และร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ในการพัฒนารูปแบบเพื่อเตรียมความพร้อมด้านการอ่านโดยอิงหลักการการพัฒนาสมอง ต่อไป. รศ.พญ.นิชรา เรืองดารกานนท์
ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี




การพัฒนาทักษะการฟัง การพูด ภาษาไทยของเด็กปฐมวัยด้วยหนังสือภาพเล่มใหญ่ (Big book)

การพัฒนาทักษะการฟัง การพูด ภาษาไทยของเด็กปฐมวัยด้วยหนังสือภาพเล่มใหญ่ (Big book)
















ปัญหาการเรียนการสอนที่พบ  มีดังนี้
1.  ด้านภาษาที่ใช้ในชีวิตประจำวัน  ใช้ภาษามลายูท้องถิ่น (ภาษายาวี) สื่อสารกันในชีวิตประจำวัน ทำให้นักเรียนพูดภาษาไทยไม่ได้  แม้พูด    ได้บ้าง เสียงที่พูดออกมา มักจะเป็นเสียงเพี้ยน  จึงทำให้มีผลต่อการเรียนในระดับชั้นที่สูงขึ้น
2.  นักเรียนมุสลิมที่โรงเรียนบ้านเบญญา (ทั่วๆไป) จะต้องเรียนวิชาอิสลามศึกษา ตั้งแต่อายุ 4 ปีเป็นต้นไป ในขณะที่เรียนในระดับปฐมศึกษา  ก็ต้องเรียนในตอนเย็นหรือค่ำ  ซึ่งจะเรียนที่บ้านโต๊ะครู  โต๊ะอีหม่าน หรือบ้านตนเอง ใช้เวลาประมาน 2-3 ชั่วโมงในวันหยุด เสาร์ – อาทิตย์
นักเรียนจะต้องเรียนในโรงเรียนตาดีกา  ซึ่งอาจจะเป็นมัสยิด จะมีครูสอนและปัจจุบันโรงเรียนบ้านเบญญา (บุญชอบ สาครินทร์) จะเป็นโรงเรียนตาดีกาคู่ขนาน จะพยายามช่วยกันพัฒนาการเรียนการสอน ทั้งภาษาไทยและศาสนาอิสลาม  แต่ผลที่ตามมาก็มีมากมาย  นั่นคือ  นักเรียนขาดเรียน  นักเรียนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ 
3.  ปัญหานักเรียนขาดเรียน  นักเรียนบางคนจะขาดเรียนติดต่อกันครั้งละหลายวัน  บางครั้งติดตามผู้ปกครองไปต่างอำเภอ หรือผู้ปกครองไปทำงานที่อื่น จะนำบุตรไปด้วย
4.  ปัญหาการเอาใจใส่ดูแล  ผู้ปกครองบางคนไปทำงานที่ประเทศมาเลเซีย  ปล่อยให้บุตรอาศัยอยู่กับปู่ย่า ตายายจึงขาดการอบรมสั่งสอนบุตรหลานในด้านการศึกษา  เช่น นักเรียนไม่เข้าใจในบทเรียน ปู่ย่า ตายาย หรือญาติๆ ก็ไม่สามารถให้คำปรึกษาได้เนื่องจาก ความไม่รู้หนังสือไทย
5.  ปัญหาการหย่าร้าง / กำพร้า  ชุมชนนี้มีปัญหาการหย่าร้างมาก นักเรียนประมาณ 40 – 45% ได้รับความกระทบจากบิดา – มารดาหย่าร้าง และบิดา – มารดาถึงแก่กรรม   การเรียนของนักเรียนจึงประสบปัญหา เพราะขาดกำลังใจ และผู้เลี้ยงดูตลอดจนความอบอุ่นที่พึงได้รับ
6.  ปัญหาความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้   ทำให้การเรียนการสอนไม่สามารถดำเนินการได้ตามปกติ  ต้องหยุดเรียนบ้าง  ต้องเลิกเรียนเร็วขึ้นกว่าเดิม ต้องปิดภาคเรียนที่ 2 ก่อนกำหนด ผลกระทบต่อนักเรียนคือ การอ่าน การฝึกลีลามือ ไม่ต่อเนื่องจากการ ปิดภาคเรียนที่ 2 นานกว่าเดิม
ความต้องการที่จะแก้ไขปรับปรุง
ข้าพเจ้ามีความต้องการที่จะแก้ไข ปรับปรุงในการเรียนการสอน โดยคิดว่า ต้องผลิตสื่อ เพื่อแก้ปัญหาการฟังการพูดภาษาไทย  ของนักเรียนอนุบาล 2 ซึ่งข้าพเจ้ารับผิดชอบ
ดังนั้น จึงผลิตสื่อหนังสือภาพเล่มใหญ่  หรือ Big book ใช้ประกอบการเรียนการสอนในบางหน่วยการเรียน   นักเรียนในระดับชั้นปฐมวัยทั้งอนุบาล 1 – 2 ต้องเรียนรู้จากการกระทำซ้ำๆ บ่อยๆ จึงจะได้ผลจากการเรียนรู้ในสิ่งนั้นๆ แล้วจึงกลายเป็นประสบการณ์ที่ยั่งยืน
เนื้อเรื่อง
1.  สิ่งที่ได้ทำขึ้นเพื่อเป็นการปรับปรุงพัฒนา
ได้จัดทำสื่อการเรียนการสอน  เป็นหนังสือภาพเล่มใหญ่ ( Big book )  เพื่อใช้เป็นสื่อในการเรียนการสอนและพัฒนาการฟังการพูดภาษาไทย  ในชั้นอนุบาล 2 ซึ่งนักเรียนใช้ภาษายาวีถิ่นในชีวิตประจำวัน
   2.   แนวความคิดหรือทฤษฎีที่ใช้
สืบเนื่องจากการได้เข้ารับการอบรมซึ่งสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษายะลาเขต 1 ได้จัดขึ้นเรื่องการผลิตหนังสือนิทานภาพเล่มใหญ่              ( big book ) เพื่อใช้เป็นสื่อในการเรียนการสอนในชั้นปฐมวัยซึ่งนับว่าเป็นสิ่งดีมาก  เพราะข้าพเจ้ามีปัญหาในการสอนมาหลายปีแล้ว  เนื่องจากเด็กปฐมวัยพูดภาษาไทยไม่ค่อยได้  เมื่อได้รับโอกาสอันดีมีค่ามากในการอบรมครั้งนั้น  จึงพยายามนำความรู้ที่ได้รับมาผลิตสื่อได้หลายเล่ม และหลากหลาย  เป็นสิ่งที่ภูมิใจมาก  เพราะความมุ่งหวังที่สุดของความเป็นครู คือต้องการให้นักเรียนที่อยู่ในท้องถิ่นนี้ ซึ่งมีภาษาไทยเป็นภาษาที่สอง พูดภาษาไทยได้ดีเทียบกับเด็กนักเรียนไทยที่อื่น  ข้าพเจ้าได้นำทฤษฎีการเรียนรู้ของบรูเนอร์  ซึ่งเน้นหลักการกระบวนความคิด ซึ่งประกอบด้วย 4 ข้อคือ แรงจูงใจ            ( Motivation ) โครงสร้าง  ( Streectree )  ลำดับขั้นความต่อเนื่อง ( Sequence )  และการเสริมแรง  ( Reinforeement )
3.  การวางแผนการทำงาน
ศึกษาและวิเคราะห์หลักสูตร  เนื้อหาหน่วยการเรียนที่ต้องการจะนำมาประกอบในการผลิตสื่อ  เพื่อใช้ในการเรียนการสอน  โดยศึกษาหลักสูตรสถานศึกษา  กำหนดขอบข่ายของเนื้อหา  วัตถุประสงค์ของหน่วยการเรียน  ตลอดจนกิจกรรมการเรียนการสอน เพื่อให้นักเรียนปฐมวัยสนใจ เข้าใจได้ง่าย  และเหมาะสำหรับการฝึกซ้ำๆบ่อยๆ เพื่อกลายเป็นประสบการณ์ที่ยั่งยืนต่อไป
4.   กระบวนการดำเนินงาน
กระบวนการดำเนินงาน  ได้นำ ทฤษฎีการบริหาร  P  D  C  A  ของ Deming  มาใช้
  1.  ศึกษาปัญหา
และความสำคัญของปัญหา

-  เด็กมีทักษะการฟังการพูดภาษาไ ทยต่ำกว่าเป้าหมายของโรงเรียน
-  ทักษะการฟังการพูดภาษาไทยมีความสำคัญต่อชีวิตประจำวันและเป็นพื้นฐานการเรียนรู้ในชั้นสูงขึ้น
2. วิธีแก้ปัญหา /  พัฒนา      ตัวแปรต้น /  นวัตกรรม
-  การพัฒนาทักษะการฟังการพูดภาษาไทยด้วยหนังสือภาพเล่มใหญ่ ( Bog book )
3. การวัดผล   การสังเกตในการร่วมกิจกรรมการเรียนการสอน
การอ่านตาม, การสนทนาโต้ตอบ, การเล่าเรื่อง, การเสนอความคิดเห็นวัตถุประสงค์ของหน่วยการเรียน ตลอดจนกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อให้นักเรียนปฐมวัยสนใจ เข้าใจได้
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้หนังสือภาพเล่มใหญ่ (Big book)
การ ฝึกทักษะ การฟัง การพูด สนทนาโต้ตอบ เล่าเป็นเรื่องราว และพูดแสดงความคิดเห็น โดยใช้สื่อหนังสือภาพเล่มใหญ่ (Big book) ใช้กระบวนการ 8 ขั้นตอนดังนี้
1. อภิปรายก่อนอ่าน   ครูนำสิ่งของ รูปภาพ ที่เกี่ยวข้อง หรือสัมพันธ์กับเรื่องที่จะอ่านให้นักเรียนฟัง
1.1    เพื่อดึงประสบการณ์เดิมที่มีอยู่ในตัวเด็กมาสนทนา
1.2    เพื่อให้นักเรียนเข้าใจความหมาย
1.3    เป็นฝึกพูดเป็นเรื่องราว
2. สนทนาเกี่ยวกับภาพ เรื่องที่จะอ่านให้นักเรียนฟัง เริ่มสนทนาจากปกและเนื้อเรื่อง แต่ละหน้า เพื่อ
2.1    ให้นักเรียนสนทนาและคาดเดาเหตุการณ์ในเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ
2.2    เพื่อให้นักเรียนได้สนทนา เป็นการฝึกพูดเป็นเรื่องราว
3. ครูอ่านเรื่องให้นักเรียนฟังเป็นการฝึกการฟัง เพื่อจับใจความสำคัญของเรื่องที่ฟัง
4. ครูและนักเรียนสนทนาโต้ตอบเกี่ยวกับเรื่องที่ครูอ่านให้ฟัง เป็นการฝึกสนทนาโต้ตอบ
5. นักเรียนแสดงความคิดเห็นจากเรื่องที่ครูอ่านให้ฟัง เป็นการฝึกการแสดงความคิดเห็นของนักเรียน
6. นักเรียนวาดภาพเป็นเรื่องราว พร้อมเล่าเรื่องราวประกอบ เป็นการฝึกการเล่าเรื่องใหม่ของนักเรียน
7. ครูและนักเรียนสนทนาโต้ตอบเรื่องที่นักเรียนวาดภาพและเล่าเรื่อง
8. ครูเล่าเรื่องใหม่ สนทนาโต้ตอบเกี่ยวกับเรื่องใหม่ ให้นักเรียนเล่าเรื่องและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่อง เป็นการฝึกสนทนา เล่าเรื่องและแสดงความคิดเห็นเรื่องใหม่ที่ฟัง เป็นการประเมินการสนทนา การเล่าเรื่องราว และแสดงความคิดเห็นจากเรื่องที่ฟัง
ผลงานของ  นางนงเยาว์  จาราแว  ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ชำนาญการ โรงเรียนบ้านเบญญา(บุญชอบ  สาครินทร์) หมู่ 2 ต.ตาเซะ อ.เมือง จ.ยะลา 950