วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554

บทความพิเศษสำหรับเด็กอนุบาล

บทความพิเศษสำหรับเด็กอนุบาล

บทความสำหรับเด็กอนุบาล

หลักในการเลือกโรงเรียนอนุบาลสำหรับลูก

ได้มีการศึกษาถึงปัจจัยที่ผู้ปกครองใช้ในการเลือกโรงเรียนอนุบาลเอกชน ให้บุตรหลานเข้าเรียน และความคาดหวังของผู้ปกครอง เกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนอนุบาลเอกชน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน ซึ่งกลุ่มตัวอย่างเป็น ผู้ปกครองของโรงเรียนอนุบาลเอกชนในเขตกรุงเทพ โดยการสุ่มและใช้แบบสอบถามเพื่อทำการวิเคราะห์ ซึ่งผลการวิจัยเป็นดังต่อไปนี้ ปัจจัยในการตัดสินใจเลือกโรงเรียนอนุบาลสำหรับลูกๆ คือ ปัจจัยเกี่ยวกับโรงเรียน ครูผู้สอน ประสบการณ์การสอน การบริหารความปลอดภัย การบริการอาหารและสุขภาพของเด็กอนุบาล การสร้างความสัมพันธ์ำกับผู้ปกครอง และค่าใช้จ่ายต่างๆโดยเฉพาะค่าเทอม
อ่านบทเพิ่มเติม - หลักการในการเลือกโรงเรียนอนุบาลสำหรับลูก
การเลือกหาโรงเรียนอนุบาลที่ ดีให้ลูกๆ จะเป็นพื้นฐานที่ดีในการเตรียมตัวลูกของคุณ ในการเข้าเรียนต่อในชั้นประถมปีที่ 1 โดยเฉพาะในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยม คุณพ่อคุณแม่นอกจากจะต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับโรงเรียนแล้ว ยังต้องเตรียมตัวลูกๆของคุณให้พร้อม สำหรับการเรียนในโรงเรียนแห่งใหม่ แม้ลูกๆของคุณอาจจะไม่แสดงการกลัวการไปโรงเรียนใหม่ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีปัญหาเมื่อลูกของคุณไปโรงเรียนจริง เพราะการเรียนในชั้นอนุบาล จะแตกต่างจากชั้นเรียนประถม ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรใช้เวลาปรับตัวลูกๆของคุณ ใน 5 เรื่องที่สำคัญดังนี้
ข้อมูลเกี่ยวกับโรงเรียนอนุบาล โรงเรียนประถม
เราได้รวบรวมสื่อการเรียนรู้สำหรับเด็กในวัยต่างๆ ทั้งวัยอนุบาล วัยประถม ทั้งสื่อการเรียนภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ซึึ่งเราหวังว่า เวบไซต์ของพวกเราจะเป็นแหล่งข้อมูลที่ครบถ้วน สำหรับคุณพ่อคุณแม่ไฮเทคในปัจจุบัน พวกเราพยายามมุ่งเน้นและนำเสนอสิ่งต่างๆ ที่พวกเราคิดว่า จะช่วยเสริมสร้างภูิมิคุ้มกันที่ดีสำหรับเด็กอนุบาล และเด็กประถม ในสังคมที่เราเผชิญในปัจจุบัน
การเตรียมตัวเด็กอนุบาลเพื่อสอบเข้า ป.1

การเตรียมตัวเด็กอนุบาลเพื่อสอบเข้า ป.1

เตรียมตัวเด็กอนุบาลเพื่อสอบเข้า ป.1
1. การเตรียมตัวให้ลูกเข้ากับสังคมใหม่
ลูก ควรจะเรียนรู้ในการแสดงออก และการควบคุมอารมณ์ ซึ่งสามารถเรียนรู้ได้ผ่านความสัมพันธ์ภายในครอบครับ โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับคุณพ่อคุณแม่ การเลี้ยงดูเอาใจใส่ลูกก็จะช่วยให้เด็กเข้าใจและสามารถเข้ากับสังคมใน โรงเรียนแห่งใหม่ได้ดีขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นคุณพ่อคุณแม่ควรจะสอนให้เด็กบอกสิ่งที่เข้าต้องการ ให้เป็นที่เข้าใจของคนรอบข้าง อาทิเช่น บอกความต้องการเมื่อรู้สึกหิว บอกความต้องการเมื่อต้องการปัสสาวะ
อ่านบทความเพิ่มเติม - การเตรียมตัวเด็กอนุบาลเพื่อสอบเข้า ป.1
ข้อมูลเกี่ยวกับโรงเรียนอนุบาล
แนะนำหนังสือสำหรับเด็กอนุบาล
การฝึกทักษะต่างๆที่สำคัญ ให้กับเด็กเล็ก เด็กอนุบาล เด็กประถม

การเสริมทักษะอื่นให้กับเด็กอนุบาลและเด็กประถม

การเสริมทักษะอื่นๆให้กับเด็กเล็ก เด็กอนุบาล เด็กประถม
การเสริมทักษะในด้านต่างๆนอกจาก ด้านการศึกษา เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับในปัจจุบัน เืพื่อที่จะทำให้เด็กๆมีความสามารถหลากหลาย หรือเป็นการสนับสนุนสิ่งที่เด็กชอบหรือถนัด เช่น การวาดรูป เล่นดนตรี ร้องเพลง รำไทย เป็นต้น และยังมีสิ่งที่ช่วยเสริมทักษะด้านร่างกายสำหรับเด็กเล็ก เด็กอนุบาล นั่นคือการออกกำลังกาย การเล่นกีฬา ซึ่งกีฬาส่วนใหญ่ควรจะต้องฝึกฝนตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เช่น กอล์ฟ ฟุตบอล ยิมนาสติก ว่ายน้ำ โดยเฉพาะกีฬาว่ายน้ำนอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังเป็นสิ่งสำคัญที่อาจจะทำให้เด็กๆสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เมื่อเกิดอุบัติเหตุทางน้ำ
อ่านบทความเพิ่มเติม - การเสริมทักษะอื่นๆ ให้กับเด็กอนุบาล และเด็กประถมวัย

หนังสือภาพประกอบคำคล้องจองพัฒนาทักษะ การพูดและภาษาสำหรับ เด็กปฐมวัย

หนังสือภาพประกอบคำคล้องจองพัฒนาทักษะ การพูดและภาษาสำหรับ เด็กปฐมวัย

หนังสือภาพประกอบคำคล้องจองพัฒนาทักษะ
การพูดและภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย



บุญครอง ร่วมชาติ / เรื่อง
ฤทธี       สน สวย / ภาพ



ฉันมีย่าปู่                 คอยดูแลฉัน
พ่อแม่เหมือนกัน           ทุกท่านเมตตา




ชีวิต เป็นอยู่           เช้า ตรู่ตื่นมา
พวกเราพร้อมหน้า     ต่าง พาทำงาน





แม่ทำ กับข้าว       ลูกสาวกวาด บ้าน
ไม่เคยเกียจคร้าน      กับงานของตัว





คุณ พ่อที่รัก         ปลูกผัก สวนครัว
ฟักแฟงแตงถั่ว         ไม่กลัวอดตาย





พี่ ชายคนโต         ปล่อยโค ก่อนสาย
กินหญ้าเรียงราย      อยู่ชายทุ่งนา




ปู่เหลาไม้ไผ่        ทำไซดักปลา
น้องเล็กตื่นมา          ล้างหน้าแปรงฟัน



ย่านั่งรอพระ        ไม่ละเลยนั่น
ใส่บาตรทุกวัน          ขยันทำบุญ






เราเป็นคนดี        ตามที่ครูสอน
กราบพระขอพร       ก่อน นอนทุกวัน

4 Responses to “หนังสือภาพประกอบคำคล้องจองพัฒนาทักษะ การพูดและภาษาสำหรับ เด็กปฐมวัย”

มองภาษาไทยผ่านพัฒนาการสมองของเด็กปฐมวัย

มองภาษาไทยผ่านพัฒนาการสมองของเด็กปฐมวัย

วันที่ 23 ก.ค. 2553 (จำนวนคนอ่าน 1775 คน)
สำนักประชาสัมพันธ์เขต 4
ภาษา ไทยเป็นภาษาประจำชาติที่มีเอกลักษณ์ ซึ่งคนไทยควรต้องอนุรักษ์ภาษาไทยกันไว้ แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีการแบ่งกลุ่มความรู้ความเข้าใจในภาษาไทยตามเนื้อหา วิชาการและแยกกันศึกษาค้นคว้า ทั้งด้านภาษาศาสตร์ ศิลปศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และศาสตร์อื่น ๆ แต่ด้วยความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของสมอง ทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องภาษาเกิดขึ้นเป็น อย่างมาก และเห็นความเชื่อมโยงระหว่างวิทยาการด้านต่าง ๆ ผ่านการศึกษาและพัฒนาการด้านภาษาและสมองของเด็ก

เคยสังเกตไหมว่า ทำไมเด็กที่เกิดมาจึงสามารถพูดคุยภาษาไทยได้ เพราะคนไทยทุกคนไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ สามารถใช้ภาษาไทยพูดคุยโต้ตอบระหว่างกันได้โดยไม่ต้องการการเรียนรู้อย่าง เป็นระบบ เมื่อเกิดมาในสภาพแวดล้อมที่มีการใช้ภาษาไทยสื่อสารกันเป็นประจำ ซึ่งเด็กทารกจะค่อย ๆ เรียนรู้ จดจำ และพูดเป็นคำในภาษาไทยได้เมื่ออายุประมาณ 1 ขวบ เช่นเดียวกันกับเด็กทั่วโลก ที่ไม่ว่าจะเกิดในสังคมที่ใช้ภาษาใด ก็จะสามารถพัฒนาความเข้าใจและใช้ภาษาพูดตามวัยได้ในช่วงอายุใกล้เคียงกัน อย่างไรก็ตาม เด็กกลุ่มด้อยโอกาสหรือที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการพัฒนาทางภาษา มักมีพัฒนาการทางภาษาล่าช้าตั้งแต่ในช่วงปฐมวัย

จากผลการสำรวจพัฒนาการเด็กปฐมวัยในประเทศไทยโดยกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งประเมินโดยใช้แบบคัดกรองและทำมาทั้งหมด 3 ครั้ง ครั้งล่าสุดคือในปี พ.ศ. 2550 พบว่า พัฒนาการด้านภาษาของเด็กไทยมีความล่าช้ามากกว่าด้านอื่น ๆ อย่างชัดเจน โดยมีตัวเลขอยู่ที่ร้อยละ 22 นั่นแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการที่เกิดขึ้น ซึ่งจะมีผลกระทบตามมาต่อตัวเด็กเองในอนาคตผลกระทบของการมีภาษาล่าช้าในเด็ก ช่วงปฐมวัย

เมื่อกล่าวถึงเรื่องเด็กพูดช้าหรือมีภาษาพัฒนาล่าช้า คนส่วนใหญ่อาจไม่เห็นว่าเป็นปัญหาสำคัญ เพราะเด็กส่วนมากมักจะค่อย ๆ พูดได้หรือเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ได้ในที่สุด แม้จะช้ากว่าเด็กในวัยเดียว กันไปบ้างก็ตาม ซึ่งจากผลการศึกษาติดตามเด็กในระยะยาวจากช่วงปฐมวัยจนเข้าสู่วัยเรียนพบว่า แม้เด็กส่วนหนึ่งจะมีพัฒนาการที่ดีขึ้นจนไม่ต่างจากเด็กวัยเดียวกัน แต่มีเด็กจำนวนครึ่งหนึ่งหรือ 2 ใน 3 ที่ยังคงมีพัฒนาการทางภาษาล่าช้าเมื่อเข้าสู่วัยเรียน และมักจะมีผลกระทบต่อการเรียน หรือมีความบกพร่องของทักษะทางสังคม เนื่องจากไม่สามารถใช้ภาษาพูดเพื่อสื่อสารกับผู้อื่นได้อย่างเป็นปกติ

เนื่องด้วยพัฒนาการทางภาษาล่าช้าเป็นปัญหาของเด็กปฐมวัยที่พ่อแม่มักนำมา ปรึกษาแพทย์ จึงทำให้มีการศึกษาวิจัยอย่างกว้างขวางทั้งในประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ หากไม่นับรวมปัญหาที่เกิดจากความผิดปกติทางการแพทย์ เช่น โรคทางสมอง หรือพันธุกรรม ที่มีผลกระทบต่อพัฒนาการของสมอง ภาวะความบกพร่องทางสติปัญญาที่เกิดจากสาเหตุต่าง ๆ หรือกลุ่มอาการ ออทิสติก ปัญหาพัฒนาการทางภาษาล่าช้าในกลุ่มเด็กที่ไม่พบสาเหตุที่ชัดเจน มักเกิดจากปัจจัยทางด้านพันธุกรรมที่ถ่ายทอดกันในครอบครัว ร่วมกับปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการพัฒนาการเตรียมความพร้อม เรื่องการอ่าน

จากข้อสรุปผลการวิจัยในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก ได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ที่ทำการศึกษาทั้งในกลุ่มเด็กที่มาพบแพทย์ในสถานบริการ และเด็กทั่วไปในชุมชนหรือโรงเรียน พบว่าระบบเสียงในภาษาอังกฤษเป็นองค์ประกอบสำคัญที่เชื่อมโยงระหว่างภาษาพูด และการเริ่มหัดอ่านในเด็ก ทำให้ในระยะหลังมีการปรับแนวทางการสอนให้เด็กอ่านออกเขียนได้ใหม่ โดยใช้วิธีการที่ช่วยพัฒนาให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างระบบเสียงกับ สัญลักษณ์หรือตัวอักษรในภาษาอังกฤษ

ด้วยความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยเฉพาะเมื่อมีเครื่องมือที่สามารถศึกษาการทำงานของสมองเด็กขณะกำลังทำสิ่ง ใดสิ่งหนึ่ง นำไปสู่ความเข้าใจในเรื่องความสำคัญของการเชื่อมโยงดังกล่าวในสมองเด็กที่ กำลังพัฒนา และเมื่อเด็กกลุ่มที่มีความบกพร่องทางด้านการอ่านได้รับการสอนด้วยเทคนิคที่ อิงกับระบบเสียงในภาษา นอกจากจะเห็นผลสัมฤทธิ์ด้านการอ่านที่ดีขึ้นแล้ว ผลการศึกษาของสมองยังพบว่า สมองบริเวณที่เกี่ยวข้องกับการอ่านทำงานเชื่อมโยงได้ดีขึ้นกว่าเดิมอย่าง ชัดเจน ในปัจจุบันแนวทางการสอนดังกล่าวจึงไม่เพียงแต่ถูกนำมาใช้เพื่อช่วยเหลือเด็ก กลุ่มที่มีปัญหาเท่านั้น แต่ยังกำหนดให้เป็นแนวทางหลักในการสอนเพื่อหัดอ่านหนังสือสำหรับเด็กปกติ ทั่วไป แม้การศึกษาวิจัยส่วนมากจะทำในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักก็ตาม

ส่วนการศึกษาวิจัยเรื่องปัญหาการอ่านของเด็กไทย ส่วนมากจะศึกษาทักษะในด้านที่เกี่ยวข้องกับผลสัมฤทธิ์ด้านการอ่านโดยรวม แต่ยังขาดการนำความรู้ความเข้าใจเรื่องหลักการพื้นฐานของการทำงานของสมอง มาเชื่อมโยงกับระบบเสียงในภาษาพูด ในอดีตการสอนเรื่องอ่านเขียนภาษาไทยในระบบการศึกษา เคยอิงหลักพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับระบบเสียงอยู่บ้าง ได้แก่ การสอนให้เด็กรู้จักหลักการการสะกดคำอย่างแม่นยำตั้งแต่เริ่มแรก ต่อมามีการปรับวิธีการสอนตามแนวทางที่เกิดขึ้นในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็น ภาษาแรก ซึ่งเป็นที่มาของวิธีการสอนการอ่านดังที่ปรากฏในหลักสูตรของกระทรวง ศึกษาธิการในช่วงหลัง วิธีการสอนดังกล่าวจะเน้นการเห็นและจดจำรูปคำมากกว่าการเน้นความเชื่อมโยง กับระบบเสียง

นอกจากทักษะการสะกดคำที่เคยเป็นหลักการสอนภาษาไทยในอดีต การท่องอาขยานหรือบทร้อยกรองยังเป็นการเตรียมทักษะความพร้อมให้แก่เด็กช่วง ปฐมวัยได้เป็นอย่างดี ความรู้ที่เกิดจากการสังเกตและการสรุปบทเรียนในอดีต จึงเกิดการเรียบเรียง บทอาขยานต่าง ๆ มากมายให้เด็กได้หัดเรียนรู้ท่องจำ การฟังและพูดคำคล้องจองเป็นการพัฒนาทักษะความพร้อมพื้นฐานเพื่อการอ่าน ซึ่งมีทั้งในภาษาไทยและในภาษาอังกฤษ ดังนั้น การท่องบทอาขยาน คำกลอน ฟังหรือร้องเพลง หรืออื่น ๆ ที่มีคำคล้องจองในลักษณะเดียวกัน จึงไม่ใช่เพียงการอนุรักษ์ภาษาไทย แต่เป็นการส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษาให้เด็กในสังคมให้มีความพร้อมสำหรับการ เรียนเขียนอ่านภาษาไทยได้อย่างเข้าใจ

ด้วยเหตุนี้ทางคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้รับการสนับสนุนให้พัฒนาโครงการเพื่อการพัฒนาศักยภาพประชากรไทยจากพื้นฐาน ความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะช่วยแก้ปัญหาพัฒนาการทางภาษาล่าช้าของเด็กในสังคม และร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ในการพัฒนารูปแบบเพื่อเตรียมความพร้อมด้านการอ่านโดยอิงหลักการการพัฒนาสมอง ต่อไป. รศ.พญ.นิชรา เรืองดารกานนท์
ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี




การพัฒนาทักษะการฟัง การพูด ภาษาไทยของเด็กปฐมวัยด้วยหนังสือภาพเล่มใหญ่ (Big book)

การพัฒนาทักษะการฟัง การพูด ภาษาไทยของเด็กปฐมวัยด้วยหนังสือภาพเล่มใหญ่ (Big book)
















ปัญหาการเรียนการสอนที่พบ  มีดังนี้
1.  ด้านภาษาที่ใช้ในชีวิตประจำวัน  ใช้ภาษามลายูท้องถิ่น (ภาษายาวี) สื่อสารกันในชีวิตประจำวัน ทำให้นักเรียนพูดภาษาไทยไม่ได้  แม้พูด    ได้บ้าง เสียงที่พูดออกมา มักจะเป็นเสียงเพี้ยน  จึงทำให้มีผลต่อการเรียนในระดับชั้นที่สูงขึ้น
2.  นักเรียนมุสลิมที่โรงเรียนบ้านเบญญา (ทั่วๆไป) จะต้องเรียนวิชาอิสลามศึกษา ตั้งแต่อายุ 4 ปีเป็นต้นไป ในขณะที่เรียนในระดับปฐมศึกษา  ก็ต้องเรียนในตอนเย็นหรือค่ำ  ซึ่งจะเรียนที่บ้านโต๊ะครู  โต๊ะอีหม่าน หรือบ้านตนเอง ใช้เวลาประมาน 2-3 ชั่วโมงในวันหยุด เสาร์ – อาทิตย์
นักเรียนจะต้องเรียนในโรงเรียนตาดีกา  ซึ่งอาจจะเป็นมัสยิด จะมีครูสอนและปัจจุบันโรงเรียนบ้านเบญญา (บุญชอบ สาครินทร์) จะเป็นโรงเรียนตาดีกาคู่ขนาน จะพยายามช่วยกันพัฒนาการเรียนการสอน ทั้งภาษาไทยและศาสนาอิสลาม  แต่ผลที่ตามมาก็มีมากมาย  นั่นคือ  นักเรียนขาดเรียน  นักเรียนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ 
3.  ปัญหานักเรียนขาดเรียน  นักเรียนบางคนจะขาดเรียนติดต่อกันครั้งละหลายวัน  บางครั้งติดตามผู้ปกครองไปต่างอำเภอ หรือผู้ปกครองไปทำงานที่อื่น จะนำบุตรไปด้วย
4.  ปัญหาการเอาใจใส่ดูแล  ผู้ปกครองบางคนไปทำงานที่ประเทศมาเลเซีย  ปล่อยให้บุตรอาศัยอยู่กับปู่ย่า ตายายจึงขาดการอบรมสั่งสอนบุตรหลานในด้านการศึกษา  เช่น นักเรียนไม่เข้าใจในบทเรียน ปู่ย่า ตายาย หรือญาติๆ ก็ไม่สามารถให้คำปรึกษาได้เนื่องจาก ความไม่รู้หนังสือไทย
5.  ปัญหาการหย่าร้าง / กำพร้า  ชุมชนนี้มีปัญหาการหย่าร้างมาก นักเรียนประมาณ 40 – 45% ได้รับความกระทบจากบิดา – มารดาหย่าร้าง และบิดา – มารดาถึงแก่กรรม   การเรียนของนักเรียนจึงประสบปัญหา เพราะขาดกำลังใจ และผู้เลี้ยงดูตลอดจนความอบอุ่นที่พึงได้รับ
6.  ปัญหาความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้   ทำให้การเรียนการสอนไม่สามารถดำเนินการได้ตามปกติ  ต้องหยุดเรียนบ้าง  ต้องเลิกเรียนเร็วขึ้นกว่าเดิม ต้องปิดภาคเรียนที่ 2 ก่อนกำหนด ผลกระทบต่อนักเรียนคือ การอ่าน การฝึกลีลามือ ไม่ต่อเนื่องจากการ ปิดภาคเรียนที่ 2 นานกว่าเดิม
ความต้องการที่จะแก้ไขปรับปรุง
ข้าพเจ้ามีความต้องการที่จะแก้ไข ปรับปรุงในการเรียนการสอน โดยคิดว่า ต้องผลิตสื่อ เพื่อแก้ปัญหาการฟังการพูดภาษาไทย  ของนักเรียนอนุบาล 2 ซึ่งข้าพเจ้ารับผิดชอบ
ดังนั้น จึงผลิตสื่อหนังสือภาพเล่มใหญ่  หรือ Big book ใช้ประกอบการเรียนการสอนในบางหน่วยการเรียน   นักเรียนในระดับชั้นปฐมวัยทั้งอนุบาล 1 – 2 ต้องเรียนรู้จากการกระทำซ้ำๆ บ่อยๆ จึงจะได้ผลจากการเรียนรู้ในสิ่งนั้นๆ แล้วจึงกลายเป็นประสบการณ์ที่ยั่งยืน
เนื้อเรื่อง
1.  สิ่งที่ได้ทำขึ้นเพื่อเป็นการปรับปรุงพัฒนา
ได้จัดทำสื่อการเรียนการสอน  เป็นหนังสือภาพเล่มใหญ่ ( Big book )  เพื่อใช้เป็นสื่อในการเรียนการสอนและพัฒนาการฟังการพูดภาษาไทย  ในชั้นอนุบาล 2 ซึ่งนักเรียนใช้ภาษายาวีถิ่นในชีวิตประจำวัน
   2.   แนวความคิดหรือทฤษฎีที่ใช้
สืบเนื่องจากการได้เข้ารับการอบรมซึ่งสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษายะลาเขต 1 ได้จัดขึ้นเรื่องการผลิตหนังสือนิทานภาพเล่มใหญ่              ( big book ) เพื่อใช้เป็นสื่อในการเรียนการสอนในชั้นปฐมวัยซึ่งนับว่าเป็นสิ่งดีมาก  เพราะข้าพเจ้ามีปัญหาในการสอนมาหลายปีแล้ว  เนื่องจากเด็กปฐมวัยพูดภาษาไทยไม่ค่อยได้  เมื่อได้รับโอกาสอันดีมีค่ามากในการอบรมครั้งนั้น  จึงพยายามนำความรู้ที่ได้รับมาผลิตสื่อได้หลายเล่ม และหลากหลาย  เป็นสิ่งที่ภูมิใจมาก  เพราะความมุ่งหวังที่สุดของความเป็นครู คือต้องการให้นักเรียนที่อยู่ในท้องถิ่นนี้ ซึ่งมีภาษาไทยเป็นภาษาที่สอง พูดภาษาไทยได้ดีเทียบกับเด็กนักเรียนไทยที่อื่น  ข้าพเจ้าได้นำทฤษฎีการเรียนรู้ของบรูเนอร์  ซึ่งเน้นหลักการกระบวนความคิด ซึ่งประกอบด้วย 4 ข้อคือ แรงจูงใจ            ( Motivation ) โครงสร้าง  ( Streectree )  ลำดับขั้นความต่อเนื่อง ( Sequence )  และการเสริมแรง  ( Reinforeement )
3.  การวางแผนการทำงาน
ศึกษาและวิเคราะห์หลักสูตร  เนื้อหาหน่วยการเรียนที่ต้องการจะนำมาประกอบในการผลิตสื่อ  เพื่อใช้ในการเรียนการสอน  โดยศึกษาหลักสูตรสถานศึกษา  กำหนดขอบข่ายของเนื้อหา  วัตถุประสงค์ของหน่วยการเรียน  ตลอดจนกิจกรรมการเรียนการสอน เพื่อให้นักเรียนปฐมวัยสนใจ เข้าใจได้ง่าย  และเหมาะสำหรับการฝึกซ้ำๆบ่อยๆ เพื่อกลายเป็นประสบการณ์ที่ยั่งยืนต่อไป
4.   กระบวนการดำเนินงาน
กระบวนการดำเนินงาน  ได้นำ ทฤษฎีการบริหาร  P  D  C  A  ของ Deming  มาใช้
  1.  ศึกษาปัญหา
และความสำคัญของปัญหา

-  เด็กมีทักษะการฟังการพูดภาษาไ ทยต่ำกว่าเป้าหมายของโรงเรียน
-  ทักษะการฟังการพูดภาษาไทยมีความสำคัญต่อชีวิตประจำวันและเป็นพื้นฐานการเรียนรู้ในชั้นสูงขึ้น
2. วิธีแก้ปัญหา /  พัฒนา      ตัวแปรต้น /  นวัตกรรม
-  การพัฒนาทักษะการฟังการพูดภาษาไทยด้วยหนังสือภาพเล่มใหญ่ ( Bog book )
3. การวัดผล   การสังเกตในการร่วมกิจกรรมการเรียนการสอน
การอ่านตาม, การสนทนาโต้ตอบ, การเล่าเรื่อง, การเสนอความคิดเห็นวัตถุประสงค์ของหน่วยการเรียน ตลอดจนกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อให้นักเรียนปฐมวัยสนใจ เข้าใจได้
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้หนังสือภาพเล่มใหญ่ (Big book)
การ ฝึกทักษะ การฟัง การพูด สนทนาโต้ตอบ เล่าเป็นเรื่องราว และพูดแสดงความคิดเห็น โดยใช้สื่อหนังสือภาพเล่มใหญ่ (Big book) ใช้กระบวนการ 8 ขั้นตอนดังนี้
1. อภิปรายก่อนอ่าน   ครูนำสิ่งของ รูปภาพ ที่เกี่ยวข้อง หรือสัมพันธ์กับเรื่องที่จะอ่านให้นักเรียนฟัง
1.1    เพื่อดึงประสบการณ์เดิมที่มีอยู่ในตัวเด็กมาสนทนา
1.2    เพื่อให้นักเรียนเข้าใจความหมาย
1.3    เป็นฝึกพูดเป็นเรื่องราว
2. สนทนาเกี่ยวกับภาพ เรื่องที่จะอ่านให้นักเรียนฟัง เริ่มสนทนาจากปกและเนื้อเรื่อง แต่ละหน้า เพื่อ
2.1    ให้นักเรียนสนทนาและคาดเดาเหตุการณ์ในเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ
2.2    เพื่อให้นักเรียนได้สนทนา เป็นการฝึกพูดเป็นเรื่องราว
3. ครูอ่านเรื่องให้นักเรียนฟังเป็นการฝึกการฟัง เพื่อจับใจความสำคัญของเรื่องที่ฟัง
4. ครูและนักเรียนสนทนาโต้ตอบเกี่ยวกับเรื่องที่ครูอ่านให้ฟัง เป็นการฝึกสนทนาโต้ตอบ
5. นักเรียนแสดงความคิดเห็นจากเรื่องที่ครูอ่านให้ฟัง เป็นการฝึกการแสดงความคิดเห็นของนักเรียน
6. นักเรียนวาดภาพเป็นเรื่องราว พร้อมเล่าเรื่องราวประกอบ เป็นการฝึกการเล่าเรื่องใหม่ของนักเรียน
7. ครูและนักเรียนสนทนาโต้ตอบเรื่องที่นักเรียนวาดภาพและเล่าเรื่อง
8. ครูเล่าเรื่องใหม่ สนทนาโต้ตอบเกี่ยวกับเรื่องใหม่ ให้นักเรียนเล่าเรื่องและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่อง เป็นการฝึกสนทนา เล่าเรื่องและแสดงความคิดเห็นเรื่องใหม่ที่ฟัง เป็นการประเมินการสนทนา การเล่าเรื่องราว และแสดงความคิดเห็นจากเรื่องที่ฟัง
ผลงานของ  นางนงเยาว์  จาราแว  ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ชำนาญการ โรงเรียนบ้านเบญญา(บุญชอบ  สาครินทร์) หมู่ 2 ต.ตาเซะ อ.เมือง จ.ยะลา 950

วันอาทิตย์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2554

โภชนาการสำหรับเด็ก


โภชนาการสำหรับเด็ก

1.      ความสำคัญของโภชนาการกับการเจริญเติบโต
โภชนาการมีความ สำคัญต่อการเจริญเติบโตของเด็ก ตั้งแต่ทารกเลยทีเดียว แต่ก็มีปัจจัยอื่นด้วย เช่น ด้านสังคม เศรษฐกิจ ด้านจิตใจ ก็เกี่ยวข้องด้วย
มีหลายปัจจัยที เดียวที่ส่งผลให้ภาวะโภชนาการไม่ดี ทั้งไม่มีจะกิน กินไม่พอ กินไม่ถูก ทำให้ขาดสารอาหารบางชนิด ขณะที่ร่างกายกำลังเจริญเติบโตต้องการสารอาหารมาก เมื่อขาด ก็ทำให้ไม่เจริญเติบโต 
ในทางตรงข้ามถ้า ได้มากเกินไป ก็เป็นผลเสียเช่นเดียวกัน ทำให้มีน้ำหนักเกิน เกิดภาวะอ้วน ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพด้านร่างกายและจิตใจ บางทีเด็กที่อ้วนก็อาจขาดสารอาหาร ซึ่งพ่อแม่จะมองข้ามไป ที่เค้าอ้วนเพราะได้พลังงานเกิน  ตรงนี้ทำให้บดบังภาวะขาดสารอาหารได้  ส่วนใหญ่ก็จะมีปัญหาเรื่องการขาดไวตามินและเกลือแร่  เนื่องจากเด็กกลุ่มอ้วนนี้มักจะไม่ค่อยกินพืชผัก-ผลไม้
โดยสรุปแล้ว ปัจจัยที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของเด็กได้แก่   กรรมพันธุ์    Hormone  และที่สำคัญคือสิ่งแวดล้อม ได้แก่  โภชนาการ  ที่อยู่อาศัย  เศรษฐกิจและสังคม  ตลอดจนสุขภาพทั่วไป และอารมณ์หรือจิตใจ
            สำหรับเรื่องของโภชนาการ  ก็คือเรื่องของอาหารการกิน  และเมื่อพูดถึงเรื่องกินของเด็ก  ความสนใจของพ่อแม่มักเพ่งไปที่เรื่อง “คุณค่าทางโภชนาการ” ของอาหาร  เพราะอาหารย่อมมีผลต่อการเจริญเติบโตทางร่างกาย   นอกจากตัวอาหารแล้ว ยังมีองค์ประกอบที่สำคัญอีกอย่างคือ “พฤติกรรมการกิน” ที่มีผลต่อการกำหนดนิสัยและบุคลิกภาพของเด็กในอนาคต   โดยการสะสมของพฤติกรรมนี้เกิดขึ้นนับตั้งแต่มื้อแรกในชีวิตของลูก  พฤติกรรมการกินต่าง ๆ ที่พ่อแม่ หรือคนเลี้ยงดู ได้กำหนดให้เขาทั้งที่รู้ตัวและไม่ตั้งใจ จะมีผลต่อการกำหนดนิสัยของเขาในวันข้างหน้าอย่างฝังรากลึกเลยทีเดียว
2.      ความต้องการสารอาหารต่างๆ ในวัยเด็ก
การเจริญเติบโตใน วัยเด็ก  โดยทั่วไปพบว่าอัตราการเจริญเติบโตของเด็กในวัยหลังขวบปีแรกจะช้ากว่าการ เปลี่ยนแปลงที่พบในช่วงที่เป็นทารก   
โดยมีน้ำหนักเพิ่ม ขึ้นประมาณปีละ 2-3 กิโลกรัมจนถึงอายุ 9-10 ปี   อัตราการเพิ่มของน้ำหนักจะมากขึ้นอีกครั้งเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยหนุ่มสาวหรือ วัยรุ่น    ส่วนการเพิ่มขึ้นของความสูงในเด็กจะเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยปีละ 6-8 ซ.ม. ตั้งแต่อายุ 2 ปีจนถึงวัยหนุ่มสาว
เด็กจะต้องได้รับ สารอาหารในปริมาณที่พอเพียงทั้งชนิดและปริมาณ   ซึ่งพลังงานที่เด็กควรจะได้รับต่อวันนั้นขึ้นกับอัตราการเจริญเติบโตของเด็ก แต่ละคน และลักษณะกิจกรรมที่ทำ  เด็กบางคนค่อนข้างวิ่งเล่นซนมาก  ชอบเล่นกีฬา หรือมี activity มาก ก็จะมีความต้องการพลังงานมากกว่าเด็กที่มี activity น้อยกว่า   ทั้งนี้สัดส่วนพลังงานจากอาหารควรได้จาก
คาร์โบไฮเดรต 50-60 %   ไขมัน 30-35 % และโปรตีน 10-15 %
สารอาหารพวกไว ตามินและแร่ธาตุ  ก็มีความสำคัญมาก  เพราะจะช่วยทำให้การเจริญเติบโตเป็นไปอย่างปกติ   เด็กอายุตั้งแต่ 1 ถึง 3 ปี   อาจพบว่ามีปัญหาการขาดธาตุเหล็ก เนื่องจากร่างกายมีความต้องการความต้องการธาตุเหล็กมากขึ้น   ถ้าเด็กได้รับอาหารที่มีธาตุเหล็กจากพืชผักเท่านั้น  อาจมีภาวะการขาดธาตุเหล็กได้   ควรให้เด็กรับประทานเนื้อสัตว์ด้วย
สำหรับแร่ธาตุ แคลเซียมซึ่งจำเป็นสำหรับเด็ก  พบว่าถ้าเด็กได้รับในปริมาณเพียงพอจะทำให้มีความหนาแน่นของกระดูกมาก  โดยมีการสะสมของแคลเซียมที่กระดูก   ซึ่งจะช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) ได้เมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่
ในเด็กอายุ 10-18 ปี ควรได้รับแคลเซียมในปริมาณ 1,200 มิลลิกรัมต่อวัน
ในเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี   ควรได้รับแคลเซียม  800 มิลลิกรัมต่อวัน
อย่างไรก็ตามใน ปัจจุบันมีข้อแนะนำให้เด็กและวัยรุ่นในช่วงอายุ 9-18 ปี  รับประทานแคลเซียมในปริมาณที่มากกว่านี้คือ 1,300 มิลลิกรัมต่อวัน   โดยอาจให้ดื่มนมหรือทานอาหารที่เป็นแหล่งของแคลเซียม และควรให้ออกกำลังกาย  เช่น เดิน วิ่ง ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน ด้วย เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกระดูก   สำหรับไวตามินที่จัดว่ามีความสำคัญในการดูดซึมและการสะสมของแคลเซียมใน กระดูกคือไวตามินดี  ซึ่งก็ได้จากแสงแดดธรรมชาติ  เด็กส่วนใหญ่ก็คงจะได้เล่นกลางแจ้งบ้างอยู่แล้ว  ก็ไม่มีปัญหาการขาดไวตามินดี
สำหรับการให้ไว ตามินและแร่ธาตุเสริมสำหรับเด็ก   จริงๆ แล้วไม่มีความจำเป็นสำหรับเด็กปกติ  ยกเว้นการให้ฟลูออไรด์  ในพื้นที่ที่พบการขาดธาตุฟลูออไรด์  หรือในแหล่งน้ำในพื้นที่นั้นมีฟลูออไรด์ ในระดับต่ำ  ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันฟันผุด้วย
อย่างไรก็ตามก็อาจ ให้ไวตามินและแร่ธาตุเสริมในเด็กกลุ่มที่ได้รับจากอาหารไม่เพียงพอ  เด็กที่เบื่ออาหาร   เด็กที่เป็นโรคเรื้อรังบางชนิด  เช่น โรคตับ   และเด็กที่รับประทานมังสวิรัติและไม่ได้รับนมและผลิตภัณฑ์นมอย่างเพียงพอ  
การให้ไวตามินเสริมแก่เด็กนั้น   ถ้าเด็กได้รับเกินขนาดจะทำให้เกิดการสะสม   โดยเฉพาะไวตามินชนิดที่ละลายได้ในไขมัน
3.      การประเมินภาวะโภชนาการในเด็ก
การประเมินสภาวะ โภชนาการในวัยเด็ก ทำได้โดยวัดส่วนสูง และชั่งน้ำหนัก   แล้วนำมาเทียบกับเกณฑ์อ้างอิงการเจริญเติบโต  ที่กรมอนามัยได้จัดทำไว้ เมื่อปี 2542  เป็นเครื่องชี้วัดถึงภาวะโภชนาการของประชากรไทย อายุตั้งแต่ 1 วัน ถึง 19 ปี 
โดยดูแยกเด็กหญิงกับเด็กชาย    ช่วงอายุต่ำ  6 ปี   อายุ 2-7 ปี  และ อายุ 5-18 ปี 
น้ำหนักตามเกณฑ์อายุ        แสดงการดูการเจริญเติบโตทางด้านน้ำหนัก
เป็นดัชนีบ่งชี้ ภาวะโภชนาการที่เป็นอยู่ในปัจจุบันว่า น้ำหนักเหมาะสมกับอายุหรือไม่  ถ้าร่างกายขาดสารอาหารหรือเจ็บป่วย  จะมีผลกระทบต่อขนาดของร่างกาย  ทำให้น้ำหนักลดลง  และถ้าขาดอาหารระยะยาว  เด็กจะผอมและเตี้ย  น้ำหนักตามเกณฑ์อายุจึงนิยมใช้เพราะครอบคลุมปัญหาด้านการขาดสารอาหารโดยรวม และใช้กันแพร่หลายในทารก และเด็กวัยเรียน
ส่วนสูงตามเกณฑ์อายุ       แสดงการดูการเจริญเติบโตทางด้านความสูง
เป็นดัชนีบ่งชี้ ภาวะโภชนาการระยะยาวที่ผ่านมาว่า ส่วนสูงเหมาะสมกับอายุหรือไม่  ถ้าร่างกายขาดสารอาหารแบบเรื้อรังเป็นระยะเวลานาน  จะมีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตทางโครงสร้าง  ทำให้เด็กเตี้ยกว่าเด็กในเกณฑ์วัยเดียวกัน 
น้ำหนักตามเกณฑ์ส่วนสูง       แสดงถึงความอ้วน-ผอม
เป็นดัชนีบ่งชี้ ว่าน้ำหนักเหมาะสมกับส่วนสูงหรือไม่  สามารถแปลผลภาวะโภชนาการได้โดยไม่ต้องทราบอายุเด็ก  ถ้าร่างกายขาดสารอาหารระยะสั้นในปัจจุบัน หรือเกิดเจ็บป่วย ร่างกายจะผอม  น้ำหนักตามเกณฑ์ส่วนสูงจะมีค่าน้อยกว่าปกติ  แต่ถ้าได้รับอาหารมากเกินความต้องการของร่างกาย  น้ำหนักตามเกณฑ์ส่วนสูง จะเป็นดัชนีบ่งชี้ภาวะเมื่อเริ่มอ้วน หรืออ้วนได้ดีทีเดียว 
การวัดภาวะ โภชนาการและการเจริญเติบโตของเด็กควรทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อดูว่ามีปัญหาหรือไม่ จะได้สามารถจัดอาหารได้อย่างเหมาะสมสำหรับเด็ก
4.      สิ่งที่ทำให้เด็กมีพฤติกรรมการกินไม่เหมาะสม
ก่อนอื่นเราต้องมาทำความรู้จัก ความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติการกินของเด็กก่อน
ประการที่หนึ่ง  พัฒนาการของเด็กจะเร็วในช่วงสองขวบปีแรก และมีอัตราช้าลงในช่วงวัยอนุบาลและวัยเรียน เมื่อเข้าวัยรุ่น ก็จะมีอัตราเร็วขึ้นอีก  ดังนั้นจะเห็นว่าช่วงเป็นทารก น้ำหนักจะขึ้นเร็วมาก แต่หลังหนึ่งขวบไปแล้ว อัตราการเพิ่มน้ำหนักจะเริ่มลดลง ก็จะพบว่า เด็กจะอยากกินอาหารน้อยลง และสนใจการเล่น และสิ่งแวดล้อมรอบตัวมากกว่า ทั้ง ๆ ที่ความต้องการพลังงานจากอาหารนั้นยังคงมีสูง    เด็กจะใช้เวลาไปกับการเรียนรู้สิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัวจนบ่อยครั้งที่ลืมหิวไปเลย
ในช่วงนี้หากพ่อ แม่ไม่เข้าใจและวิตกกังวลมากเกินไป ก็พยายามเคี่ยวเข็ญลูกให้กิน เครียดกันทั้งแม่ทั้งลูก  อันนี้คือการฝืนธรรมชาติโดยไม่รู้ตัว  ส่วนตัวเด็กเองก็จะรู้สึกฝืนใจ อาจทำให้หงุดหงิด และมีปฏิกิริยาต่อต้านการรับประทานเกิดขึ้นได้
ประการที่สอง  เมื่อเด็กโตขึ้นมาระยะหนึ่งคืออายุประมาณ 2-4 ขวบ เด็กจะเข้าวัยต่อต้าน  เริ่มเป็นตัวของตัวเอง จะดื้อแทบทุกคน อยากทดสอบปฏิกิริยาของผู้ใหญ่ว่าเวลาที่พูดคำว่า “ไม่” แล้วผู้ใหญ่จะทำอย่างไร ถ้าผู้ใหญ่ยอม หรือคะยั้นคะยอให้กิน หรือออกแนวขอร้อง  เด็กๆ ก็จะเรียนรู้ว่าจะต่อรองกับพ่อแม่อย่างไร  เด็กจะยิ่งดื้อมากขึ้น
ประการที่สาม   ธรรมชาติการรับรสของคนเราไม่เหมือนกัน พ่อแม่ไม่ควรใช้ความรู้สึกหรือความชอบของตัวเองเป็นมาตรฐานในการตัดสินใจ เรื่องการกินของลูก  จะสังเกตว่าเด็กจะไม่เลือกกินผัก เพราะมีรสไม่ถูกปากและมีแคลอรี่ต่ำ แต่เด็กจะชอบกินอาหารประเภทแป้งหรือไขมันที่มาในรูปของอาหารกรอบ ๆ ที่ทอดน้ำมัน ซึ่งมีแคลอรี่สูง  ดังนั้นจะบังคับให้เด็กกินผักมาก ๆ เด็กจะฝืนและต่อต้าน  นอกจากนี้ปริมาณอาหารที่เด็กแต่ละคนกินจะไม่เท่ากัน  พ่อแม่มักชอบเปรียบเทียบกับลูกคนอื่น
ประการที่สี่   เรื่องของการเบื่ออาหารในเด็กนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติ เด็กจะไม่กินไปสักมื้อ หรือบางมื้อกินได้น้อย  พ่อแม่ก็ควรจะกังวลเกินไป มื้อต่อไปเด็กก็จะกินชดเชยเอง ไม่ต้องไปขวนขวายหาอาหารเสริมพิเศษให้กิน  อีกอย่างความเครียดของพ่อแม่ ก็อาจส่งผลต่ออารมณ์ของเด็กได้  นอกจากนี้แล้วเวลาที่เด็กไม่สบายก็จะกินอาหารได้น้อยอยู่แล้ว อย่างเช่น เป็นไข้หวัด เด็กก็จะกินข้าวได้น้อยกว่าปกติ คนเป็นหวัดก็ย่อมเบื่ออาหารเป็นธรรมดา   หลังจากหายแล้วเขาก็จะสามารถกินได้ตามปกติ  ดังนั้นพ่อแม่ก็ไม่ควรเป็นกังวลเกินไป
ดังนั้นหากไม่เข้า ใจธรรมชาติการกินของเด็กแล้ว  พ่อแม่ก็จะปฏิบัติต่อลูกในเรื่องการกินไม่เหมาะสม  จึงส่งผลให้เด็กมีพฤติกรรมการกินที่ไม่ดี  โดยสรุปสิ่งที่ทำให้เด็กมีพฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสม ได้แก่
1.      เด็กถูกพ่อแม่ยัดเยียดในเรื่องการกินมากเกินไป  คะยั้นคะยอมากเกินไป บางครั้งทำให้เด็กมีพฤติกรรมต่อต้าน เช่น การอมข้าว
2.      บริการและเลือกอาหารให้ลูกมากเกินไป  ทำให้เป็นคนเลือกกิน
3.      พ่อแม่บางคนชอบติดสินบนลูก  ถ้ากินข้าวแล้วจะให้รางวัล  ยิ่งถ้ารางวัลเป็นขนมหวาน ยิ่งแย่กันไปใหญ่
4.      พ่อแม่บางคนชอบใช้วิธีบังคับ ทำให้เด็กมีทัศนคติที่ไม่ดีในเรื่องของการกินอาหาร
5.      พ่อแม่บางคนให้ลูกกินตลอดเวลา จนทำให้เด็กไม่รู้ว่าหิวเป็นอย่างไร และไม่มีระเบียบวินัยในการกิน
6.      สำคัญที่สุดคือพฤติกรรมของพ่อแม่เอง  ทัศนคติของพ่อแม่ต่ออาหาร หรือนิสัยการบริโภคของพ่อแม่  พ่อแม่อาจเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีให้แก่เด็ก  เช่น ไม่กินผัก กินก๋วยเตี๋ยวไม่ใส่ผักชี กับถั่วงอก เป็นต้น  ดังนั้นการเป็นตัวอย่างที่ดีของพ่อแม่นั้นสำคัญมาก
5.      ปัญหาโภชนาการเด็ก
การรับประทานอาหาร ที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้เกิดโรคต่างๆ ได้  โดยเฉพาะโรคเรื้อรังต่างๆ  ดังนั้นการรับประทานอาหารเพื่อป้องกันโรคเรื้อรังต่างๆ ก็ควรปลูกฝังกันตั้งแต่ในวัยเด็ก 
สำหรับโรคโภชนาการในเด็กนั้นได้แก่
5.1   ภาวะน้ำหนักเกิน และโรคอ้วน
ทราบกันดีว่าโรค อ้วนนั้นมีความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น เบาหวาน  ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ  ไขมันในเลือดสูง   โรคข้อ  โรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ  ตลอดจนปัญหาทางด้านจิตใจ
จากการศึกษาพบว่าเด็กอ้วนมีโอกาสเป็นผู้ใหญ่อ้วนในอนาคตมากกว่าเด็กที่มีน้ำหนักตัวปกติ
สาเหตุของภาวะอ้วน ในเด็กนั้นเกิดจากปัจจัยสำคัญสองอย่างคือ มีพฤติกรรมการกิน และการออกกำลังกายไม่เหมาะสม  กล่าวคือ กินมากเกินไป กินอาหารที่มีแคลอรี่สูง กินผักผลไม้น้อย  ไม่ค่อยออกกำลังมีกิจกรรมที่ไม่ค่อยเคลื่อนไหวร่างกายมาก  เช่น  ดูทีวี  เล่นเกมส์  เล่นคอมพิวเตอร์
การแก้ไขปัญหาตรง นี้นอกจากการปรับเปลี่ยนอาหารการกินแล้ว การให้ความรู้ การวางแผนการออกกำลังกาย และการให้ครอบครัว โรงเรียน และชุมชนมีส่วนร่วม ก็จะให้เกิดผลสำเร็จมากขึ้น
5.2    น้ำหนักตัวต่ำกว่ามาตรฐาน (Underweight)
เด็กที่ผอมกว่า ปกติอาจมีสาเหตุจากเป็นโรคเรื้อรัง ได้รับอาหารไม่พอหรือไม่อยากอาหาร หรือในเด็กหญิงโดยเฉพาะในช่วงอายุ 9-17 ปี อาจจะอดอาหารเพื่อควบคุมน้ำหนัก ดังนั้นจึงควรแนะนำให้เด็กรับประทานอาหารให้ได้สารอาหารและพลังงานที่เพียง พอ
5.3   การขาดเหล็ก (Iron deficiency)
การขาดเหล็กพบได้ บ่อยในเด็กเล็กอายุ 1-3 ปี ในเด็กเล็กที่รับประทานนมเป็นส่วนใหญ่และรับประทานอาหารอื่นน้อยอาจได้รับ เหล็กไม่พอ เด็กที่ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ อาจทำให้การดูดซึมเหล็กไม่ดีเนื่องจากเหล็กในเนื้อสัตว์จะอยู่ในรูป heme iron ซึ่งมีการดูดซึมที่ดีกว่าเหล็กในรูป non-heme iron ซึ่งมีอยู่ในพืชต่าง ๆ   ในทารกและเด็กที่ขาดเหล็กจะพบว่ามีการพัฒนาการเรียนรู้ช้า การเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กอาจทำได้โดยให้รับประทานอาหารที่มีกรดแอสคอร์บิ คหรือไวตามินซีร่วมด้วย และควรให้เด็กรับประทานเนื้อสัตว์ ปลา สัตว์ปีกเป็นประจำ
5.4   ฟันผุ (Dental caries)
เด็กอาจฟันผุได้ จากการรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลสูง หรือจากการรับประทานอาหารติดต่อกัน  พ่อแม่ควรหัดให้ลูกกินของหวานในปริมาณน้อย หรือให้กินร่วมกับอาหารอื่นที่มีรสไม่หวาน เพื่อช่วยลดการเกิดฟันผุ และควรให้ฟลูออไรด์เสริมแก่เด็ก นอกจากนั้นควรหัดให้เด็กรักษาอนามัยของช่องปาก หัดให้เด็กแปรงฟันอย่างถูกวิธี  และพ่อแม่ควรเป็นแบบอย่างที่ดีแก่เด็ก  การมีฟันสมบูรณ์ก็ส่งผลต่อการกินอาหารเช่นเดียวกัน
6.      ถ้าลูกชอบกิน fast food พ่อแม่จะทำยังไงดี
fast food คืออะไร
คืออาหารจานด่วน ประเภทหนึ่งที่เน้นความสะอาด รวดเร็ว และง่ายต่อการบริโภค ทั้งนี้เนื่องจากวิถีชีวิตของคนในเมืองใหญ่ที่มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เป็นวิถีชีวิตที่เร่งรีบ อาหารเร่งด่วนจึงเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่นี้   อาหารจานด่วนนี้ก็มี 2 แบบคือแบบตะวันตก กับแบบไทยๆ  ซึ่งก็ให้คุณค่าทางโภชนาการต่างกัน
อาหาร fast food แบบตะวันตก จะให้พลังงานจากไขมันและโปรตีนเกินกว่าที่มาตรฐานกำหนดให้บริโภค โดยเฉพาะไขมันที่ได้ จะมีปริมาณค่อนข้างสูง ประมาณร้อยละ 40-50 ของพลังงานทั้งหมด  ซึ่งส่วนใหญ่เป็นไขมันอิ่มตัว ในขณะที่ fast food แบบไทยเป็นอาหารที่ให้พลังงานจากไขมันและโปรตีนเหมาะสมกับความต้องการของ ร่างกาย  แต่ที่คนส่วนใหญ่เข้าใจมักจะหมายถึง fast food แบบตะวันตกมากกว่า
ถ้าถามว่ากิน fast food บ่อย ๆ ดีไหม
ไขมันที่ได้จาก อาหาร fast food แบบตะวันตก ส่วนใหญ่แล้วเป็นไขมันอิ่มตัว การบริโภคอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว โปรตีน และน้ำตาลในปริมาณมากเกินความต้องการของร่างกายโดยต่อเนื่องกันในระยะเวลา นาน และเกินความสามารถของอวัยวะขับถ่ายที่จะกำจัดส่วนเกินของอาหารไปได้หมด ทำให้เกิดการสะสมส่วนเกินนั้นไว้ตามอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ใบหน้า หน้าท้อง ขา แขน ทำให้เกิดโรคอ้วน และตามอวัยวะภายในร่างกาย เช่น สะสมไว้ที่หัวใจ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแอ สะสมไว้ในตับ ไต ทำให้ตับไตทำหน้าที่ได้น้อยลง สะสมไว้บริเวณผนังลำไส้ ทำให้การดูดซึมของอาหารลดน้อยลง  เป็นต้น
ค่านิยมในหมู่เด็ก และวัยรุ่นปัจจุบันพบว่าการกิน fast food คือ ความโก้เก๋ ทันสมัย ถ้าใครไม่กินเป็นคนเชย ไม่เข้ากลุ่มเพื่อน  พฤติกรรมการกินของเด็กลักษณะนี้อาจสร้างความหนักใจให้แก่พ่อแม่ เพราะนอกจากคุณค่าของอาหารประเภทนี้ไม่สมดุลกับความต้องการของร่างกายแล้ว  ราคาก็ยังแพงอีกด้วย
เมื่อหลีกเลี่ยง ไม่ได้แล้ว ก็ต้องค่อยๆ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินของลูก เช่น ไม่ปฏิเสธเมื่อลูกอยากกิน แต่ให้แนะนำให้เขากินอาหารแบบไทยๆ ในมื้อต่อไป อาจเป็นอาหารจานเดียวประเภทก๋วยเตี๋ยว ราดหน้า ข้าวคลุกกะปิ เย็นตาโฟ เป็นต้น             นอกจากนี้ในวันหยุดควรมีการกินอาหารที่เป็นสำรับรวมกัน ให้มีอาหารครบทั้งข้าว เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ ซึ่งอาจจะช่วยทำกันคนละไม้คนละมือ นอกจากจะได้คุณค่าทางอาหารที่ครบแล้วยังช่วยเพิ่มความสนิทสนมและความ สัมพันธ์อันดีภายในครอบครัวอีกด้วย  
นอกจากนี้ก็ค่อยๆ ให้ความรู้แก่เขา ในเรื่องของผลดีผลเสียจากการมีพฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะโรคอ้วน เชื่อว่าเด็กจะค่อย ๆ เข้าใจและเมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่น เขาก็จะรู้จักระมัดระวังตัวเอง เพราะเด็กวัยรุ่นส่วนใหญ่จะกลัวอ้วนกันอยู่แล้ว
การกินอาหาร fast food บ้างเป็นครั้งคราวก็คงไม่เป็นไร แต่ไม่ควรบ่อยนัก และควรสั่งสลัดมากินด้วยเพื่อเสริมคุณค่าทางอาหาร  อย่างไรก็ดีการกินอาหารที่หลากหลายหมุนเวียนจะทำให้ได้รับสารอาหารครบถ้วน และลดความเสี่ยงต่อพิษภัยที่อาจปนเปื้อนมาในอาหารได้
7.      ทำยังไงจะสร้างนิสัยการกินที่ดีให้กับเด็ก
การจะให้ลูกมี นิสัยการกินที่ดี ต้องฝึกมาตั้งแต่ในวัยเด็ก คือเมื่อเด็กเกิดมาต้องการกินนมแม่ พอถึงวัยอันควรก็ต้องกินอาหารเสริม  ถ้าเราฝึกให้เด็กมีโอกาสช่วยเหลือตนเอง โดยเฉพาะในช่วง 7-8 เดือนซึ่งเด็กนั่งได้  ให้เด็กหยิบอาหารเข้าปากเองบ้าง  เด็กจะมีพฤติกรรมในการช่วยเหลือตัวเอง
เมื่อย่างเข้าขวบ ครึ่ง เด็กจะเริ่มมีความรู้สึกพึ่งตนเอง สามารถตักอาหารเข้าปากเองได้ พอเด็กโตขึ้นก็ฝึกให้กินอาหารที่มีประโยชน์ มีไวตามินแร่ธาตุจากผัก เด็กอาจจะยังไม่ทราบว่าไวตามินคืออะไร แต่ถ้าเราพูดบ่อย ๆ เด็กจะเริ่มจำและเรียนรู้ ว่ากินผักแล้วแข็งแรงมีไวตามิน
นอกจากการฝึกเด็ก ให้กินอาหารที่มีคุณค่าครบถ้วนแล้ว สิ่งที่ต้องไม่ลืมฝึกเด็กควบคู่ไปกับการกินคือ นิสัยหรือการปฏิบัติในการกิน ควรสอนให้เด็กกินอย่างประหยัด การตักข้าวควรตักแต่พอกิน หากไม่อิ่มให้ตักใหม่ และควรกินให้หมดจาน 
นอกจากนี้ ยังต้องเอาใจใส่ในเรื่องให้เด็กกินอย่างถูกสุขอนามัยด้วย  ได้แก่ ล้างมือและภาชนะให้สะอาด สอนให้เด็กรู้ หรือเกิดความเคยชินว่า เมื่อถึงเวลากินอาหาร หรือกินอะไรล้วนแล้วต้องล้างมือ เมื่อทำได้เช่นนี้ เด็กจะเกิดนิสัยการกินที่ดี มีประโยชน์ ไม่ว่าเด็กจะไปอยู่ที่ไหน จะไม่มีปัญหาเรื่องกิน ที่สำคัญต้องปลูกฝังตั้งแต่เด็ก ๆ และต้องทำอย่างต่อเนื่องเสมอต้นเสมอปลาย

รายการคลินิก   101.5
โดย คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เพลง IF YOU´RE HAPPY

ต้วมๆเตี้ยมๆออกมาจากไข่

พระอาทิตย์ยิ้มแฉ่ง

เพลงเด็ก 7วัน7สี

วันอังคารที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2554

ดนตรีสำหรับเด็กปฐมวัย

ดนตรีสำหรับเด็กปฐมวัย

  กิจกรรมดนตรีที่เหมาะกับเด็ก ได้แก่ กิจกรรมที่ทำร่วมกันเป็นกลุ่ม เช่นการร้องเพลง เล่นเกมประกอบเพลง และบรรเลงเครื่องดนตรีอย่างง่าย เป็นต้น  เด็กจะสนุกกับกิจกรรมที่เขาได้ออกความคิด ได้เคลื่อนไหว ได้ใช้ภาษา บรรเลงเครื่องดนตรี และร้องเพลง กิจกรรมดนตรีจะเป็นพื้นฐาน ของเด็กในการที่จะพัฒนาการดนตรีของเขาให้ดีขึ้นในอนาคต
เด็กเรียนจบชั้นอนุบาลเขาควรมีความสามารถดังนี้
         -   ใช้เสียงร้องเพลงให้แตกต่างจากเสียงพูด
         -   ร้องเพลงได้ชัดเจนไม่เพี้ยน
         -   เขารู้จักจังหวะ เร็ว - ช้า พลังเสียง ดัง - เบา
การสอนดนตรี

         การสอนดนตรี การศึกษาพัฒนาการเด็กตามองค์ประกอบสามประการของดนตรี ได้แก่ การเคลื่อนไหว การฟัง และการร้องเพลง จะช่วยให้ครูจัดประสบการณ์ที่เหมาะสมแก่เด็ก  การเคลื่อนไหว(Moving) เด็กเริ่มเคลื่อนไหวตั้งแต่เป็นทารก หรือแม้แต่ยังอยู่ในครรภ์มารดา เดือนแรกๆ เด็กจะเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อศรีษะก่อน หลังจากนั้นจึงจะเคลื่อนไหวไหล่ แขน ลำตัว และขา การพัฒนาการเคลื่อนไหวก็เริ่มจากกล้ามเนื้อใหญ่ไปกล้ามเนื้อเล็ก การควบคุมการเคลื่อนไหว เริ่มตั้งแต่ส่วนกลางของร่างกาย แล้วขยายออกไป เด็กยกศรีษะได้ก่อนนั่ง ยืนหรือเดิน แล้วพัฒนาถึงขั้นหยิบไม้บล็อกด้วยมือทั้งมือก่อนจะสามารถหยิบด้วยนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้

ศูนย์พัฒนาบุคลากร Hi.Q.group
จัดอบรมบุคลากรทางการศึกษา
Permalink : http://www.oknation.net/blog/Hi-Q-Group


คุณค่าดนตรีต่อพัฒนาการเด็กปฐมวัย              

     ผลจากคุณค่าของเสียงดนตรีที่มีต่อการพัฒนาทางด้านจิตใจของเด็ก นักจิตวิทยาสังคมต่างให้การยอมรับและได้กล่าวถึงคุณค่าของดนตรีไว้ว่า
          1.  ดนตรีก่อให้เกิดความสว่างแก่จิตใจ ( Enlightenment)
          2.  ดนตรีก่อให้เกิดความสุข ( Well - Being)
          3.  ดนตรีก่อให้เกิดความผูกพันรักใคร่ ( Affection)
                     ดนตรีเป็นศาสตร์ หรือวิชาที่ทำให้เด็กระดับปฐมวัยได้รับการพัฒนาทุก ๆ ด้านของการเจริญเติบโต ไม่ว่าจะเป็นความรู้    ความจำ สังคม   ค่านิยม การคิดหาเหตุผล การสร้างสรรค์ การพัฒนากล้ามเนื้อ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า    การพัฒนาตนเองให้เข้ากับกลุ่ม    หรือสภาพแวดล้อมของสังคมต่าง ๆ ดนตรีจึงน่าจะเป็นวิชาเดียวเท่านั้นที่ทำให้เด็กสนุกสนานรื่นเริงอย่างเต็มที่    ทั้งการแสดงออกทางร่างกาย    ความคิด ตลอดจนพัฒนาการทางจิตใจ อารมณ์ และนอกจากนี้ ดนตรีนอกจากนี้ ดนตรียังสามารถนำไปสัมพันธ์  เชื่อมโยงหรือบูรณาการ    กับวิชาการ องค์ความรู้ และกิจกรรมต่าง ๆ แก่เด็กปฐมวัยอย่างสำคัญทีเดียว    ประการสำคัญดนตรีเป็นตัวจักรสำคัญที่ใช้ในการเสริมสร้างพัฒนาการด้านต่างๆ ของเด็กปฐมวัย ดังนี้
ดนตรีช่วยเสริมสร้างพัฒนาด้านสุขภาพและพลานามัยของเด็กปฐมวัย

           การเล่นเครื่องดนตรีหรือการร้องเพลงของเด็กนั้น น่าจะไม่เพียงแต่นั่งร้องหรือขับร้องเท่านั้น แต่เด็กทุกคนชอบ และพอใจที่จะทำท่าทางประกอบไปด้วย เนื่องจากเด็กในระดับปฐมวัยชอบเปลี่ยนอิริยาบทชอบการเคลื่อนไหว กระโดดโลดเต้นไปตามจังหวะท่วงทำนองของเพลง ดังนั้น เพลงและดนตรีจึงสามารถใช้เป็นสิ่งเร้าเพื่อพัฒนาการเคลื่อน ไหว ทั้งการเคลื่อนไหวแบบอยู่กับที่ การเคลื่อนไหวแบบเคลื่อนที่ การเคลื่อนไหวเพื่อดนตรี การเคลื่อนไหวเพื่อนาฎศิลป์ หรือการเต้นรำ รวมทั้งพัฒนากล้ามเนื้อใหญ่ กล้ามเนื้อเล็ก ขน ขา ลำตัว นิ้วมือ และส่วนต่างๆ ของร่างกายตามจังหวะ ดนตรี จะเป็นการช่วยพัฒนาให้เด็กมีร่างกายแข็งแรงและพลานามัยที่สมบูรณ์ อันจะเป็นผลเกี่ยวโยงไปสู่จุดมุ่งหมายทาง การศึกษาที่มุ่งให้เด็กพัฒนาทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม สติปัญญา ความคิดสร้างสรรค์ และทักษะด้านอื่น ๆ ซึ่งจะช่วย ให้เด็กปฐมวัยปรับตัวเข้ากับสถานการณ์และสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันได้อย่างมีความสุข

ดนตรีช่วยสร้างเสริมพัฒนาการทางอารมณ์ - จิตใจของเด็กปฐมวัย

           เพลงและดนตรีช่วยพัฒนาอารมณ์ของเด็กในแง่การให้ความเพลิดเพลิน สนุกสนาน สดชื่น ร่าเริง บางครั้งเด็กปฐมวัยจะยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง อาจทำให้เด็กเกิดความขัดแย้งหรือสับสน จึงทำให้เด็กมีปัญหาในด้านอารมณ์และจิตใจดนตรีจะสามารถช่วยบรรเทาหรือปรับอารมณ์เด็กได้อย่างดี ดนตรีสามารถช่วยให้เด็กได้แสดงออกตามความต้องการความรู้สึกและความสามารถ ช่วยถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกของเด็ก ช่วยให้เด็กผ่อนคลายความเครียด ดังจะเห็นได้จากการ สังเกตเวลาเด็กร้องเพลงเล่นกัน เด็กจะมีหน้าตายิ้มแย้ม เบิกบาน แม้เด็กบางคนจะมีอารมณ์หงุดหงิด แต่เมื่อได้ร้องรำทำเพลงหรือได้ฟังเพลงสักครู่ก็จะค่อยคลายความไม่สบายใจลง เพราะความไพเราะของเพลง ลีลาและท่วงทำนองเพลงจะช่วยกล่อมอารมณ์ของเด็กให้เพลิดเพลินเป็นปกติได้อย่างดี นอกจากนี้แล้ว ดนตรียังพัฒนาอารมณ์ของเด็ก เกิดความบันเทิงใจ เพลิดเพลิน เกิดจินตนาการกว้างไกล อารมณ์เยือกเย็น สุขุม รักสวยรักงาม เห็นคุณค่าของดนตรี รักในเสียงเพลง เสียงดนตรี จากการสัมผัสดนตรีอยู่ในโลกของดนตรี ไม่เกิดความเหงา เห็นเสียงเพลงเสียงดนตรีเป็นเพื่อน เด็กจะเกิดความนุ่มนวลอ่อนโยนขึ้น ไม่แข็งกระด้าง ไม่เห็นแก่ตัว มีอารมณ์สุนทรีย์ละเอียดอ่อน การพัฒนาทางอารมณ์ของเด็กจะได้รับการกล่อมเกลาไปทีละเล็กละน้อย จนมีการแสดงออกทางอารมณ์ที่เหมาะสม อันเป็นผลพวงจากดนตรีนั่นเอง

ดนตรีช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางสังคมของเด็กปฐมวัย

           เป็นที่ทราบกันดีว่า เด็กปฐมวัยเป็นเด็กที่ยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง (Egocentric) เด็กจะสนใจตนเองมากกว่า ทำให้เด็กไม่ค่อยคิดถึงผู้อื่น สิ่งที่ควรแก้ไขให้รู้จักเอาใจผู้อื่น แบ่งปันสิ่งของ ร่วมเล่นกับเพื่อน รู้จักช่วยเพื่อน ๆ รู้จักใช้ถ้อยคำและกริยาอย่างเหมาะสม รู้จักรักและชื่นชมและให้อภัยต่อกัน ซึ่งสิ่งดังกล่าวสามารถใช้ดนตรีเป็นสื่อ เพราะดนตรีมีส่วนช่วยโน้มน้าวให้เด็กอยากเรียน อยากเล่นหรือทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อน โดยที่ไม่ต้องมีการบังคับแต่ประการใด วิธีหนึ่งที่จะให้เด็กได้พัฒนาด้านสังคม คือ ให้เด็กได้ร่วมร้องเพลงหรือทำกิจกรรมทางดนตรี แสดงบทบาทตามดนตรี จนกระทั่งเด็กเกิดความซาบซึ้งและเห็นคุณค่า เด็กจะพยายามเลียนแบบ ทั้งนี้ ครูและผู้เกี่ยวข้องต้องคอยย้ำและเตือนอยู่เสมอ จนกระทั่งเด็กได้พัฒนาพฤติกรรมทางสังคม เด็กที่ได้รับการพัฒนาทางด้านสังคมโดยใช้ดนตรีเป็นสื่อ ผู้เขียนคิดว่า เด็กจะเรียนรู้ถึงความเป็นไปของสังคมใกล้ตัวและสังคมรอบข้าง เด็กจะเป็นที่รักของสมาชิกและสังคม อยู่ในสังคมอย่างมีความสุข สามารถปรับ
ตัวให้เข้ากับผู้อื่นได้ รู้จักพูดจา แสดงท่าทางเหมาะแก่กาลเทศะ ทำงานและเล่นกับผู้อื่นได้ดี ยอมรับฟัง ความคิดเห็นของผู้อื่น สิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นสิ่งที่เกิดจากการใช้ดนตรีเป็นสื่อในการพัฒนาสังคมของเด็กปฐมวัยโดยแท้
           นอกจากนี้ดนตรีทำให้เด็กมีพัฒนาการทางด้านสังคม อันเป็นผลจากการที่เสียงดนตรีมีส่วนช่วยในการปรับสภาพอารมณ์ของเด็กให้เกิดความพึงพอใจ และความสุขสบาย ฉะนั้นการที่เด็กได้ฟังเสียงดนตรีที่มีความสนุกสนาน เพลิดเพลิน เด็กจะเกิดความรู้สึกอบอุ่น มีความไว้วางใจในสิ่งแวดล้อม มีความสุขในการเรียน การทำงาน และสามารถที่จะปรับตัวในลักษณะที่เหมาะสมเมื่ออยู่ร่วมกับผู้อื่น จะสังเกตได้จากพฤติกรรมการแสดงออก ซึ่งเด็กจะมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนมากขึ้น มีพฤติกรรมทางสังคมที่ดี มีความสามัคคีร่วมมือในการทำกิจกรรม ซึ่งส่งผลให้เกิดการเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้เป็น อย่างดียิ่ง

ดนตรีช่วยสร้างเสริมพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กปฐมวัย

           ดนตรีจะช่วยสร้างเสริมความรู้ ความเข้าใจ และมโนคติกับเด็กในเรื่องต่าง ๆ เช่น ธรรมชาติศึกษา คณิตศาสตร์ สังคมศึกษา สุขศึกษา ฯลฯ และเป็นการช่วยที่เด็กพอใจ เด็กเข้าใจและจดจำได้เอง โดยไม่ต้องมีการบังคับ เช่น บทเพลงที่เกี่ยวกับลม ฝน แมลง นก ขณะที่เด็กร้องเพลงและทำท่าเคลื่อนไหวเลียนแบบสิ่งต่าง ๆ อาทิ ลีลาเลียนแบบท่าทางของสัตว์ ท่าทางของคน ลีลาเลียนแบบการเคลื่อนไหวของเครื่องยนต์กลไกและเครื่องเล่น ลีลา เลียนแบบปรากฎการณ์ธรรมชาติ หรือลีลาตามจินตนการ ซึ่งเด็กจะมีความเข้าใจธรรมชาติของสิ่งเหล่านี้เพิ่มขึ้น หรือในขณะที่เด็กร้องเพลงนับกระต่าย นับลูกแมว นับนิ้ว เด็กก็จะได้รับความคิดในเรื่องการเพิ่ม - ลดของจำนวน การเรียงลำดับที่ ฯลฯ ซึ่งพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กปฐมวัยจะเจริญงอกงามโดยอาศัยกิจกรรม
ต่าง ๆ โดยเฉพาะกิจกรรมทางดนตรีนับเป็นกิจกรรมที่มี ความสำคัญยิ่ง
           ดนตรีเป็นสิ่งแวดล้อมที่มีบทบาทสำคัญและเป็นประโยชน์สำหรับการพัฒนาทางสติปัญญาของเด็กปฐมวัย เพราะดนตรีเป็นสิ่งเร่งที่จะช่วยจูงใจให้เด็กเกิดความสบายใจ และมีความรู้สึกในทางที่ดี ซึ่งเป็นการช่วยสร้างสิ่งแวดล้อมให้มีความน่าสนใจ ทำให้เด็กเกิดความตื่นตัวในการเรียนรู้ อันส่งผลโดยตรงต่อการพัฒนาทางสติปัญญาเป็นอย่างดี
           ประการสำคัญ ดนตรีจัดเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ขาดเสียมิได้ต่อการพัฒนาทางสติปัญญา โดยเฉพาะด้านสมาธิ เนื่องจากดนตรีช่วยทำให้เด็กเกิดสมาธิในการทำกิจกรรมและสามารถทำงานได้นานขึ้น ทั้งนี้เพราะเสียงดนตรี นับเป็นสื่ออย่างหนึ่งที่จะช่วยปรับสภาพอารมณ์และช่วยกระตุ้นให้เด็กเกิดสมาธิ สามารถสร้างระเบียบและควบคุมตนเองให้เหมาะสมและไม่เกิดความเครียดจนต้องหยุดชะงักการทำงาน ในขณะที่เด็กทำกิจกรรมสร้าง สรรค์ กิจกรรมการเล่นตามมุม กิจกรรมกลางแจ้ง เมื่อมีดนตรีเปิดเบา ๆ เด็กจะมีความพึงพอใจในการทำกิจกรรมท่ามกลางบรรยากาศที่มีเสียงเพลง และมีความตั้งใจพยายามทำกิจกรรม อีกทั้งยังพบว่าระยะเวลาในการทำกิจกรรมแต่ละประเภทจะยาวนานขึ้น นอกจากนี้เสียงดนตรียิ่งทำให้เด็กมีความคิดสร้างสรรค์ และมีจินตนาการในขณะทำกิจกรรมได้เป็นอย่างดี ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยดังนี้
           จากการทดลองของ เลิศ อานันทนะ ( 2518 : 219) พบว่า เสียงดนตรีสามรถเสริมสร้างความคิดจินตนาการ ช่วยกระตุ้นให้มีการแสดงออกในทางสร้างสรรค์ ส่งเสริมให้มีความสัมพันธ์ระหว่างประสาทหู กล้ามเนื้อมือ ให้สอดคล้องกับการใช้ความคิด
           ฉะนั้น ดนตรีจึงเป็นสื่อกลางของเด็กปฐมวัยในการพัฒนาศักยภาพ คุณค่าทางสมองและสติปัญญา เพราะดนตรีเป็นเรื่องของโสตศิลป์ที่จะพาเด็กไปสู่การรับรู้และเรียนรู้เรื่องของศาสตร์วิทยาการ ต่าง ๆ ตลอดจนความงามอย่างมีสุนทรีย์ ในที่สุดเด็กก็มีการพัฒนาการทางสติปัญญาสูงขึ้น มีคุณภาพและประสิทธิภาพนั่นเอง

ดนตรีช่วยสร้างเสริมพัฒนาทักษะทางภาษาของเด็กปฐมวัย

           ดนตรีช่วยให้เด็กรู้จักฟังและแยกความแตกต่างของระดับเสียง สูง ต่ำ ดัง ค่อย หนัก เบา แหลม ทุ้ม รู้จักแยกอัตราจังหวะ ช้า ปานกลาง เร็ว ซึ่งจะเป็นพื้นฐานในการฟังคำพูดที่ประกอบไปด้วยเสียงหนัก - เบา และเสียงวรรณยุกต์ทางภาษาที่แตกต่างกัน ดนตรีจะช่วยพัฒนาทักษะทางด้านต่าง ๆ อาทิ การเขียน การพูด การอ่านออกเสียงของเด็ก เพราะในขณะที่เด็กร้องเพลง เด็กจะต้องรู้จักควบคุมการหายใจ รู้จักควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อที่ใช้ในการพูด รู้จักจังหวะ
ของคำพูด รู้จักรูปประโยคที่ถูกต้อง และเด็กจะชอบเล่นกับคำพูด ซึ่งเป็นบทคล้องจองที่อยู่ในเพลงนั้น เนื่องจากเพลงทุกเพลงจะต้องมีเนื้อร้องที่สัมผัสกัน เช่น นกเอยนกน้อยน้อย เจ้าค่อยค่อยเคลื่อนคล้อยมา คำว่าน้อยสัมผัสกับค่อย ลักษณะของคำที่คล้องจองกันเช่นนี้ ทำให้เด็กสามารถจำเพลงได้ง่ายขึ้น สิ่งต่าง ๆ ดังที่ผู้เขียนกล่าวมาจะยังประโยชน์ต่อการพัฒนาทักษะด้านภาษาให้กับเด็กปฐมวัยได้เป็นอย่างดี


ดนตรีช่วยสร้างเสริมพัฒนาลักษณะนิสัยที่ดีของเด็กปฐมวัย
           สิ่งที่พึงปรารถนาของทุกฝ่ายและทุกสังคม คือ การให้ลูกหลานมีลักษณะนิสัยที่ดีในการที่จะปลูกฝังและส่งเสริมพัฒนาลักษณะนิสัยที่ดีให้แก่เด็กปฐมวัยนั้น เราสามารถใช้เพลงหรือดนตรีช่วยได้เป็นอย่างมาก ถ้าเลือกเพลงได้เหมาะสม ในปัจจุบันนี้มีบทเพลงสำหรับเด็กมากมายซึ่งมีส่วนช่วยสร้างเสริมลักษณะนิสัยที่ดีให้กับเด็ก จากการทดลองจัดทำเพลงสำหรับเด็กปฐมวัย ว่าด้วยเพลงเกี่ยวกับกริยามารยาท การรักษาความสะอาด เพลงเกี่ยวกับธรรมชาติ สภาพแวดล้อม ความเมตตากรุณาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เพลงเกี่ยวกับการรักษาระเบียบวินัย ความสามัคคี ฯลฯ ซึ่งได้นำมาใช้สอนนักเรียนระดับปฐมวัย ปรากฏว่านักเรียนสนุกสนาน ให้ความสนใจเป็นอย่างดี เด็ก ๆ ที่ชอบทิ้งขยะไม่เป็นที่ หรือเล่นของเล่นแล้วไม่เก็บเข้าที่ ก็จะใช้เพลง อย่าทิ้งต้องเก็บ มาร้องให้เด็กฟังและสอนให้เด็กร้องตาม ปรากฎว่าเด็ก ๆ ปฏิบัติตามเพลงเป็นอย่างดี

ดนตรีช่วยสร้างเสริมพัฒนาด้านระเบียบวินัยและความพร้อมเพรียงแก่เด็กปฐมวัย

           ดนตรีสามารถเป็นสื่อที่จะให้เด็กรักษาระเบียบวินัยและความพร้อมเพรียง โดยวิธีนี้เป็นสิ่งที่ทำได้โดยง่าย ซึ่งจะทำให้ครู - อาจารย์ ผู้เกี่ยวข้องไม่จำเป็นต้องเหน็ดเหนื่อย หรือ เคี่ยวเข็ญบังคับ เช่น การใช้สัญญาณที่เป็นเสียงเพลงหรือดนตรีกับเด็กว่า ถ้าได้ยินเสียงสัญญาณนี้ทุกคนจะต้องมาเข้าแถว สัญญาณเสียงนี้ทุกคนจะต้องหยุดเล่น สัญญาณนอน สัญญาณรับประทานอาหาร สัญญาณดื่มน้ำ ฯลฯ ซึ่งอาจใช้สัญญาณเสียงที่เป็นเสียงดนตรีง่าย ๆ เช่น นกหวีดเป่าเป็นจังหวะ เสียงกลอง เสียงกรับ เสียงฉิ่ง - ฉับ เสียงกระดิ่งสั่น เป็นจังหวะหรือเสียงเพลงใดเพลงหนึ่ง ซึ่งถ้าเด็กเข้าใจและเคยชินกับสัญญาณเสียงทางดนตรีเหล่านี้ เด็กจะปฏิบัติทุกอย่างได้ดีมีความพร้อมเพรียงกัน โดยที่ครูหรือผู้อ่านเองไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยกับการที่จะต้องคอยตะโกนบอกเด็กอยู่ทุกระยะ ฉะนั้นดนตรีจึงเป็นสื่อสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่มีส่วนช่วยพัฒนาระเบียบวินัย รวมถึงความพร้อมเพรียงของเด็กปฐมวัยได้อีกทางหนึ่ง

ดนตรีช่วยในการปลูกฝังความรักชาติบ้านเมืองของเด็กปฐมวัย

           การปลูกฝังให้เด็กเกิดความรักชาติบ้านเมืองเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องแรกอยู่ในกิจกรรมต่าง ๆ สิ่งที่จะเป็นสื่อที่ดีที่สุด คือ การใช้เพลงหรือดนตรี ทำนองและจังหวะต่าง ๆ เป็นเครื่องช่วยกระตุ้น ส่งเสริม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพลงที่มีจังหวะเร้าใจ คึกคัก สนุกสนาน มีความหมายที่เกี่ยวกับความรักชาติ ความเสียสละเพื่อชาติของวีรชนบรรพบุรุษ ตลอดจนตัวอย่างที่ดีงามของผู้เสียสละ จะเป็นการกระตุ้นให้เด็กเห็นคุณค่าและความสำคัญของประเทศชาติ เห็นความสำคัญของบรรพบุรุษที่ได้ช่วยกันป้องกันประเทศชาติ สิ่งเหล่านี้ จะเป็นตัวปลูกฝังแทรกซึมความรักชาติบ้านเมือง ความภาคภูมิใจในถิ่นกำเนิดต่อไปในอนาคต โดยการใช้ดนตรีเป็นสื่อนำทางได้เป็นอย่างดี
ดนตรีช่วยลดพฤติกรรมที่เป็นปัญหาของเด็กปฐมวัย
           เพลงและดนตรีจะช่วยลดพฤติกรรมที่เป็นปัญหาบางอย่างของเด็กปฐมวัย เช่น เด็กที่ไม่กล้าแสดงออก ไม่มีความเชื่อมั่นในตนเอง เด็กที่ขี้อาย มีความก้าวร้าว ฯลฯ เราสามารถนำกิจกรรมทางดนตรีเข้ามาช่วยปรับ หรือแก้ไขพฤติกรรมดังกล่าวได้เป็นอย่างดี
           จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันมีการนำกิจกรรมทางดนตรีมาสร้างสรรค์ บรรณาการ และประยุกต์ใช้เป็นสื่อในการพัฒนาการและช่วยแก้ไขข้อบกพร่องของเด็ก จากประสบการณ์ผู้เขียนคิดว่าเด็กในระดับปฐมวัยจะมีปัญหา ข้อบกพร่องและความพิการด้านต่าง ๆ แตกต่างกันไป ซึ่งปัญหาข้อบกพร่องและความพิการทุกอย่างสามารถที่จะนำกิจกรรมทางดนตรีเข้าบำบัดแก้ไขได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นเด็กที่มีความสนใจต่ำ เด็กที่มีสมาธิสั้น เด็กที่มีปัญหาเกี่ยวกับการพูด มีปัญหาเกี่ยวกับทักษะในการเคลื่อนไหว การปรับตัว ความคิดและจินตนาการ สายตา การอยู่ร่วมกัน การรักษาหรือลักษณะของต่าง ๆ ความซาบซึ้ง ความสามารถ ระดับความสมหวัง ประการที่สำคัญดนตรีสามารถนำไปใช้บำบัดการที่เด็กพิการ ทั้งด้านการพูด ตา หู ร่างกาย สมอง หรือแม้กระทั่งเด็กที่มีปัญหาหรือความบกพร่องทางอารมณ์ ซึ่งผู้ที่นำกิจกรรมทางดนตรีมาใช้เชื่อกันว่า อิทธิพลหรืออำนาจของเสียงเพลงหรือดนตรีจะสามารถก่อให้เกิดประโยชน์ คุณค่าและเกิดอารมณ์แก่เด็กในการที่จะแก้ปัญหาต่าง ๆ ในตัวเด็กได้
           ประการสำคัญในการเรียนการสอนระดับปฐมวัย ดนตรีสามารถนำมาปรับพฤติกรรม หรือเสริมการเรียนรู้ของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ซึ่งนักวิชาการทางดนตรี เรียกกันว่าดนตรีบำบัด อันเป็นวิชาการแขนงหนึ่งที่มีประโยชน์มหาศาลต่อเด็กโดยการประยุกต์กิจกรรมทางดนตรีหรือเพลงที่เลือกสรรเป็นอย่างดีมาใช้กับเด็ก โดยมุ่งที่จะให้กิจกรรมทางดนตรีเป็นตัวช่วยเสริมสร้างพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของเด็ก ช่วยแก้ไขความผิดปกติ ความบกพร่องของเด็กในระหว่างที่มารับการบำบัดหรือศึกษาฟื้นฟู พัฒนาสมรรถภาพ ซึ่งเด็กเหล่านี้อาจเป็นเด็กปัญญาเลิศ เด็กที่มีปัญหาทางการอ่าน เด็กปัญญาอ่อน เด็กที่มีปัญหาทางอารมณ์ เด็กที่มีความบกพร่องด้านต่าง ๆ เด็กพิการ หรือเด็กพิเศษ ฯลฯ โดยการบำบัดด้วยดนตรีเป็นการเริ่มที่ตัวเด็กไม่ได้เริ่มจากดนตรี โดยการใช้เด็กเป็นศูนย์กลางของการบำบัด นักดนตรี นักดนตรีบำบัดจะวินิจฉัยปัญหาของเด็ก แล้วจึงวางแผนจัดกิจกรรมทางดนตรีให้สอดคล้องกับความต้องการ ความบกพร่องหรือปัญหาของเด็กแต่ละคนเป็นราย ๆ ไป การบำบัดด้วยดนตรีของเด็กพิเศษเหล่านี้ อาจทำเดี่ยวหรือเป็นกลุ่มก็ได้ ทั้งนี้เพื่อต้องการให้เด็กมีพัฒนาการที่พึงประสงค์ สิ่งสำคัญของการบำบัดดนตรีสำหรับเด็กปฐมวัย จะเน้นการบำบัดดนตรีเป็นรายบุคคล ซึ่งจะเริ่มที่ปัญหาและสภาพข้อบกพร่อง ความต้องการพิเศษของเด็กแต่ละคนๆ การบำบัดด้วยดนตรีนี้มีจุดมุ่งหมายคล้ายกับการบำบัดรักษาด้วยวิธีการหรือเครื่องมืออื่นๆ โดยมุ่งที่จะใช้กิจกรรมทางดนตรีเป็นสื่อกระตุ้นหรือเร้าให้เด็กได้มีพัฒนาการ ประสบความสำเร็จในการปรับพฤติกรรมต่าง ๆ ทั้งยังส่งเสริมให้เด็กเกิดพฤติกรรมใหม่ อันเป็นสิ่งที่พึงประสงค์ เป็นสิ่งปกติในชีวิตและวัยของเด็กแต่ละช่วงให้คงอยู่แลพัฒนาการต่อไป


ดนตรีเป็นสื่อสร้างเสริมพัฒนาการเรียนการสอนของเด็กปฐมวัย

           วิธีการหรือสื่อหนึ่ง ที่จะมีส่วนทำให้เด็กในระดับปฐมวัยเกิดความสนใจ สนุกสนาน เห็นคุณค่าตั้งใจและติดตามการเรียนการสอนวิชาอื่น ๆ ในหลักสูตร ไม่ว่าจะเป็นสาระเนื้อหาตามแผนการจัดประสบการณ์ ทั้งกิจกรรมที่ปรากฎในตารางกิจกรรมประจำวันอันประกอบด้วย การเคลื่อนไหวและจังหวะกิจกรรมสร้างสรรค์ (ศิลปศึกษา) การเล่นตามมุม กิจกรรมในวงกลม การเล่นกลางแจ้ง เกมการศึกษา กิจกรรมที่ไม่ปรากฎในตารางกิจกรรมประจำวัน อาทิ การเล่านิทานการร้องเพลง การท่องคำคล้องจอง การจัดทัศนศึกษา การปฏิบัติการทดลอง การเตรียมเด็กให้สงบ ( การเก็บเด็ก) รวมทั้งแผนการจัดประสบการณ์ทั้ง 16 สัปดาห์ ในระดับปฐมวัยศึกษาของสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ ( กระทรวงศึกษาธิการ. 2536 : 335 หน้า) ซึ่งเราสามารถนำกิจกรรมดนตรี เข้าแทรกหรือบูรณาการแผนการจัดประสบการณ์ดังกล่าวข้างต้นได้เป็นอย่างดี
           การนำดนตรีมาใช้เป็นส่วนประกอบในกิจกรรมการเรียนการสอน บทประพันธ์เพลงที่มีความไพเราะ มีรูปแบบทำนองลีลาสมบูรณ์ จะให้ความซาบซึ้งและดำรงไว้ซึ่งคุณค่าทางอารมณ์ สามารถจินตนาการเป็นภาพที่มีความหมาย ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่เด็กในแง่ที่จะพัฒนาจิตใจให้ละเอียดอ่อน ส่งเสริมพัฒนาการทางอารมณ์ เรื่องของการเรียนไม่ว่าจะเป็นการเรียนวิชาดนตรีหรือวิชาอื่น ๆ ก็ตาม การเรียนรู้ที่สมบูรณ์นั้น ควรจะมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันได้ในรายวิชาต่าง
ๆ ปกติคนเราจะมีพื้นฐานดนตรีประทับในใจอยู่แล้วเป็นทุน จากสิ่งแวดล้อมหรือธรรมชาติ ดังนั้น จึงสามารถใช้ดนตรีเป็นสื่อเชื่อมโยงได้ โครงสร้างของวิชาดนตรีกับวิชาอื่น ๆ ซึ่งมีความสัมพันธ์ต่อกัน จะเป็นส่วนช่วยให้สามารถจัดระบบที่เหมาะสม
           การนำกิจกรรมดนตรีมาใช้ประกอบการเรียนการสอนให้สัมพันธ์กับบทเรียนสำหรับเด็กปฐมวัยนั้น มีจุดมุ่งหมายที่จะให้เด็กเรียนด้วยความสนุกเพลิดเพลิน ไม่เบื่อหน่ายวิชาที่เรียน เพราะเป็นการได้รับความรู้จากบทเรียน คละเคล้าไปกับการเล่นโดยไม่รู้ตัว และจะช่วยส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจ ความจำของเด็กได้ดีขึ้น กิจกรรมการเรียนการสอนที่ใช้ดนตรีอาจทำได้ดังนี้
          1. ใช้ดนตรีเป็นเนื้อหาในการเรียนแล้วโยงไปหาวิชาอื่น ๆ เช่น ถ้าเพลงใดมีเนื้อหาที่บอกเรื่องราวต่าง ๆ สมบูรณ์ในตัว ก็นำเพลงนั้นมาให้เด็กร้องและอธิบายข้อความตามเนื้อเพลง แล้วจึงโยงไปถึงการเล่น การเล่าเรื่อง การเล่นนิทาน การฝึกทักษะด้านอื่น ๆ
          2. ใช้ดนตรีเป็นส่วนประกอบให้สัมพันธ์กับบทเรียน คือ เรียนเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้วนำเพลงที่สัมพันธ์กับบทเรียนเข้ามาแทรก ซึ่งการแทรกนี้อาจทำได้หลายทาง เช่น ใช้ดนตรีเป็นการนำบทเรียน เพื่อที่จะเร้าให้เด็กเกิดความสนใจและกระตือรือร้นอยากที่จะเรียน ควรใช้เพลงที่เกี่ยวกับการให้เด็กคิดหรือให้ทาย เป็นต้นใช้ดนตรีแทรกตอนกลางบทเรียน บางครั้งบทเรียนที่ค่อนข้างยาวเกินไป อาจทำให้เด็กเบื่อและมีสมาธิสั้น อาจใช้เพลงแทรกเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ และเพื่อให้ เด็กเรียนด้วยความสนุกสนานยิ่งขึ้น ซึ่งเพลงที่จะนำมาร้องแทรกตอนกลางของบทเรียนนี้ ควรเป็นเพลงที่เด็กร้องเป็นมาก่อน หรือเคยได้ฟังมาบ้างและเป็นเพลงที่ร้องง่าย ๆ ฉะนั้น ครูจะต้องเริ่มสอนร้องเพลงใหม่ ทำให้ความสนใจของเด็กมาอยู่ที่ดนตรีหมด โดยที่ยังสอนบทเรียนไม่จบ นอกจากนี้ การนำดนตรีมาแทรกในบทเรียนยังช่วยได้มากในกรณีที่ครูต้องการเน้นเนื้อหาให้เด็กเข้าใจ และเห็นความสำคัญยิ่งขึ้น
          3. ใช้ดนตรีหรือเพลงร้องภายหลังบทเรียน ซึ่งเป็นการทบทวนบทเรียนไปด้วย เช่น เมื่อเด็กเรียนธรรมชาติศึกษาเรื่องสัตว์ต่าง ๆ ได้หัดฟังและเลียนสียงร้องของสัตว์และชนิดของสัตว์ ซึ่งแตกต่างกันไปแล้ว เพื่อเป็นการทบทวนความจำให้แม่นยำยิ่งขึ้นว่าสัตว์ใดร้องอย่างใด ก็นำกิจกรรมทางดนตรีมาให้เด็กร้องหรือเล่นเป็นการสรุปบทเรียนได้อีกทางหนึ่ง
การนำกิจกรรมทางดนตรีมาประกอบการเรียนการสอนเพื่อเป็นสื่อสร้างเสริมพัฒนาการเรียนการสอนของเด็กปฐมวัย สามารถสร้างความสัมพันธ์เชื่อมโยงรายวิชาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาษา สังคมศึกษา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ศิลปศึกษา ธรรมชาติ ฯลฯ การใช้ดนตรีเข้าช่วยจะทำให้เด็กเกิดความสุกสนาน สร้างเสริมคุณค่าและพัฒนาการทางอารมณ์ สามารถอำนวยประโยชน์ในกิจกรรมการเรียนการสอน และเป็นประโยชน์สำหรับเด็กปฐมวัยและผู้เกี่ยวข้อง


ดนตรีกับพัฒนาการของเด็กปฐมวัย             

                เด็กปฐมวัย หมายถึง เด็กที่อยู่ในช่วงอายุระหว่าง 5 ครึ่ง 6 ปี ถึง 6 ปี เด็กในช่วงวัยนี้ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเริ่มต้นพัฒนารากฐานทางสมอง ให้มีศักยภาพสูงสุด ถือเป็นโอกาสทองที่สำคัญที่สุดในการเรียนรู้ เพื่อให้พวกเขามีความเจริญเติบโตทั้งทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคมและสติปัญญา
                หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546 มุ่งส่งเสริมให้เด็กที่มีอายุแรกเกิดถึง 5 ปี มีพัฒนาการทางด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคมและสติปัญญาที่เหมาะสมกับวัย เด็กอายุ 3-5 ปี ให้มีความสามารถในการคิดและแก้ปัญหาได้เหมาะสมกับวัย ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ 10 ของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546 หลักสูตรเป็นหัวใจสำคัญของการจัดการศึกษาและเป็นแนวทางในการจัดประสบการณ์แก่ผู้เรียน โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญที่เป็นมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ มุ่งให้เด็กมีพัฒนาการที่เหมาะสมกับวัย ดังนี้     
       1.  ร่างกายเจริญเติบโตตามวัยและมีสุขนิสัยที่ดี
       2.  กล้ามเนื้อมัดใหญ่และกล้ามเนื้อมัดเล็กแข็งแรงใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว ประสานสัมพันธ์กัน
       3.  มีสุขภาพจิตที่ดีและมีความสุข
       4.  มีคุณธรรมและจริยธรรม
       5.  ชื่นชมและแสดงออกทางศิลปะ ดนตรี การเคลื่อนไหว และรักการออกกำลังกาย
       6.  ช่วยเหลือตนเองได้เหมาะกับวัย
       7.  รักธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม 8.อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุขและปฏิบัติตนเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม
        9. ใช้ภาษาสื่อสารได้เหมาะกับวัย
       10. มีความสามารถในการคิดและแก้ปัญหาได้เหมาะสมกับวัย
       11. มีจิตนาการและความคิดสร้างสรรค์
       12.  มีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้และมีทักษะในการแสวงหาความรู้
                จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันมีการนำกิจกรรมทางดนตรีมาสร้างสรรค์ บรรณาการและประยุกต์ใช้เป็นสื่อในการพัฒนาการและช่วยแก้ ไขข้อบกพร่องของเด็ก จากประสบการณ์ผู้เขียนคิดว่าเด็กในระดับปฐมวัยจะมีปัญหา ข้อบกพร่องและความพิการด้านต่างๆแตกต่างกันไป ซึ่งข้อบกพร่องและความพิการทุกอย่างสามารถที่จะนำกิจกรรมทางดนตรีเข้ามาบำบัด แก้ไขได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นเด็กที่มีความสนใจต่ำ เด็กที่มีสมาธิสั้น เด็กที่มีปัญหาเกี่ยวกับการพูด ปัญหาทักษะเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว การปรับตัว ความคิดและจินตนาการ สายตา การอยู่ร่วมกัน ความสามารถ ประการสำคัญดนตรีสามารถนำไปใช้บำบัดเด็กพิการด้านการพูด ตา หู ร่างกาย สมองหรือแม้กระทั่งเด็กที่มีปัญหาหรือความบกพร่องทางอารมณ์ ซึ่งผู้ที่นำกิจกรรมทางดนตรีมาใช้เชื่อว่าอิทธิพลหรืออำนาจของเสียงบทเพลงหรือดนตรี สามารถก่อให้เกิดประโยชน์ คุณค่าและเกิดอารมณ์แก่เด็กในการที่จะแก้ปัญหาต่างๆในตัวเด็กได้
                ประการสำคัญในการเรียนการสอนระดับปฐมวัย ดนตรีสามารถนำมาปรับพฤติกรรมหรือเสริมการเรียนรู้ของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ซึ่งนักวิชาการทางดนตรี เรียกว่า ดนตรีบำบัด อันเป็นวิชาการแขนงหนึ่งที่มีประโยชน์มหาศาลต่อเด็ก โดยการประยุกต์กิจกรรมทางดนตรีเป็นตัวช่วยเสริมสร้างพัฒนาการด้านต่างๆของเด็ก ช่วยแก้ไขความผิดปกติ ความบกพร่องของเด็ก ในระหว่างการมารับการบำบัดหรือฟื้นฟู พัฒนาสมรรถภาพ ซึ่งเด็กเหล่านี้อาจเป็นเด็กปัญญาเลิศ เด็กที่มีปัญหาทางการอ่าน เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา เด็กที่มีปัญหาทางอารมณ์ เด็กที่มีความบกพร่องทางด้านต่างๆ เด็กพิการหรือเด็กพิการซ้อน โดยการบำบัดด้วยดนตรีเป็นการเริ่มที่ตัวเด็กไม่ใช่ดนตรี โดยการใช้เด็กเป็นศูนย์กลางของการบำบัด นักดนตรี นักดนตรีบำบัด จะวินิจฉัยปัญหาของเด็ก แล้วจึงวางแผนจัดกิจกรรมทางดนตรี ให้สอดคล้องกับความต้องการ ความบกพร่องหรือปัญหาของเด็กแต่ละคนเป็นรายๆไป การบำบัดด้วยดนตรีของเด็กพิเศษเหล่านี้ อาจทำเดี่ยวหรือเป็นกลุ่มก็ได้ ทั้งนี้เพื่อให้เด็กมีพัฒนาการที่พึงประสงค์ สิ่งสำคัญของการบำบัดดนตรีสำหรับเด็กปฐมวัย จะเป็นการบำบัดเป็นรายบุคคล ซึ่งจะเริ่มที่ปัญหาและสภาพข้อบกพร่อง  ความต้องการพิเศษของเด็กแต่ละคน การบำบัดด้วยดนตรีนี้มีจุดมุ่งหมายคล้ายกับการบัดรักษาด้วยวิธีการหรือเครื่องมืออื่นๆ โดยมุ่งที่จะใช้กิจกรรมทางดนตรี เป็นสิ่งกระตุ้นให้เด็กได้มีพัฒนาการ ประสบความสำเร็จในการปรับพฤติกรรมต่างๆ ทั้งยังส่งเสริมให้เด็กเกิดพฤติกรรมใหม่ อันเป็นสิ่งที่พึงประสงค์ เป็นสิ่งปกติในชีวิตและวัยของเด็กแต่ละชีวิตให้คงอยู่และพัฒนาการต่อไป

                การนำกิจกรรมดนตรีมาใช้ประกอบกิจกรรมการเรียนการสอนให้สัมพันธ์กับบทเรียนสำหรับเด็กปฐมวัยนั้น มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เด็กเรียนด้วยความสนุกสนานเพลิดเพลิน ไม่เบื่อหน่ายวิชาที่เรียนเพราะเป็นการได้รับความรู้จากบทเรียน คละเคล้าไปกับการเล่น โดยไม่รู้ตัว และจะช่วยส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจ ความจำของเด็กได้ดีขึ้น กิจกรรมการเรียนการสอนที่ใช้ดนตรีอาจทำได้ดังนี้
                                1. ใช้ดนตรีเป็นเนื้อหาในการเรียนแล้วโยงไปหาวิชาอื่นๆ เช่น ถ้าเพลงใดมีเนื้อหาที่บอกเรื่องราวต่างๆ สมบูรณ์ในตัว ก็นำเพลงนั้นมาให้เด็กร้องและอธิบายข้อความตามเนื้อเพลง แล้วจึงโยงไปถึงการเล่น การเล่าเรื่อง การเล่านิทาน การฝึกทักษะด้านต่างๆ
                                2. ใช้ดนตรีเป็นสื่อประกอบให้สัมพันธ์กับบทเรียน คือ เรียนเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้วนำเพลงที่สัมพันธ์กับบทเรียนเข้ามาแทรก ซึ่งการแทรกนี้อาจทำได้หลายทาง เช่น ใช้ดนตรีเป็นการนำเข้าสู่บทเรียนเพื่อที่จะเร้าให้เด็กเกิดความสนใจและกระตือรือร้นอยากที่จะเรียน ควรใช้เพลงที่เกี่ยวกับการให้เด็กเกิดความคิดหรือให้ทายเป็นต้น ใช้ดนตรีแทรกตอนกลางบทเรียน บางครั้งบทเรียนที่ค่อนข้างยาวเกินไป อาจทำให้เด็กเบื่อและมีสมาธิสั้น อาจใช้เพลง  แทรกเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ และเพื่อให้เด็กเรียนด้วยความสนุกสนานมากยิ่งขึ้น ฉะนั้นครูจะต้องเริ่มสอนร้องเพลงใหม่ ทำให้ความสนใจของเด็กมาอยู่ที่ดนตรี การนำดนตรีมาแทรกในบทเรียนยังช่วยได้มากในกรณีที่ครูต้องการเน้นเนื้อหาให้เด็กเข้าใจและเกินความสำคัญยิ่งขึ้น
                                3. ใช้ดนตรีหรือเพลงร้องหลังบทเรียน ซึ่งเป็นการทบทวนบทเรียนไปด้วย เช่น เมื่อเด็กเรียนธรรมชาติศึกษาเรื่องสัตว์ต่างๆ ให้หัดฟังและเลียนเลียนเสียงร้องของสัตว์และชนิดของสัตว์ซึ่งแตกต่างกันไปแล้ว เพื่อเป็นการทบทวนความจำให้แม่นยำยิ่งขึ้นว่าสัตว์ใดร้องอย่างไร ก็นำกิจกรรมทางดนตรีมาให้เด็กร้องหรือเล่นเป็นการสรุปบทเรียนได้อีกทางหนึ่ง
                การนำกิจกรรมทางดนตรีมาประกอบการเรียนการสอนเพื่อเป็นสื่อสร้างเสริมพัฒนาการเรียนการสอนของเด็กปฐมวัย สามารถสร้างความสัมพันธ์ เชื่อมโยงราชวิชาต่างๆไม่ว่าจะเป็นภาษา สังคมศึกษา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ศิลปศึกษา ธรรมชาติ ฯลฯ การใช้ดนตรีเข้าช่วยจะทำให้เด็กเกิดความสนุกสนาน สร้างเสริมคุณค่าและพัฒนาการทางอารมณ์ สามารถอำนวยประโยชน์ในกิจกรรมการเรียนการสอนและเป็นประโยชน์สำหรับเด็กปฐมวัยและผู้เกี่ยวข้อง
                                                 


       ดนตรีมีบทบาทที่เกี่ยวข้องกับเด็กตั้งแต่แรกเกิด จนเมื่อเติบโตขึ้นถึงวัยเข้าเรียนในระหว่างที่อยู่โรงเรียน ดนตรีเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อหาวิชาที่เรียน และ เป็นส่วนประกอบของกิจกรรมต่างๆ
ดนตรีสำหรับปฐมวัยนั้น มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างไปจากดนตรีในระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา เพราะดนตรีสำหรับเด็กปฐมวัย หมายถึง ดนตรีที่เด็กแสดงออกตามความพร้อม การรับรู้และ ความสนใจของเด็กแต่ละคน การแสดงออกของเด็กจะอาศัยสื่อบางอย่างได้แก่ เสียงร้อง อุปกรณ์เครื่องดนตรี หรือ การเคลื่อนไหวส่วนต่างๆของร่างกาย ซึ่งการแสดงออกทางดนตรีของเด็กจะแสดงออกหลายรูปแบบเช่น การร้องเพลง การเคลื่อนไหวตามจังหวะตามทำนอง และตามเนื้อร้องของเพลง รวมทั้งการเล่นอุปกรณ์เครื่องดนตรี และการสร้างสรรค์ทางดนตรี ครูเป็นบุคคลสำคัญและมีอิทธิพลในการช่วยเหลือเด็กให้เกิดความรักทางด้านดนตรีมีประสบการณ์ทางด้านดนตรีมีความเจริญงอกงามทางดนตรี มีการพัฒนาการทางดนตรีและมีพฤติกรรมใหม่เกิดขึ้น
อันเป็นผลจากการเรียนรู้ ซึ่งผลการเรียนรู้นี้ช่วยให้เด็กมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมต่างๆคือ
        1.  มีทักษะทางด้านดนตรี
        2.  มีความชื่นชมและรักในดนตรี
        3.  มีความรู้สึกกล้าอยากทดลองสิ่งใหม่
       การที่เด็กสามารถพัฒนาการเรียนรู้ทางด้านดนตรี ขึ้นอยู่กับ สติปัญญา อารมณ์ และ วุฒิภาวะของเด็กแต่ละคน ซึ่งมีความแตกต่างกันไป  ครูต้องนำกระบวนการเรียนรู้มาใช้ คือ
        1.  ครูควรเสริมแรงให้เด็กเกิดความภาคภูมิใจเมื่อเด็กประสบความสำเร็จทางดนตรี เพราะจะทำให้เด็กเกิดความเชื่อมั่นในการกระทำครั้ง ต่อไป
        2.  ครูควรเปิดโอกาสให้เด็กแสดงอารมณ์ผ่านทางเสียงดนตรี และ เพลง ให้เด็กได้มีโอกาสพัฒนาทักษะความคิดสร้างสรรค์ทางดนตรี
        3.  ครูควรใช้เทคนิคการสอนแบบต่างๆ และนำอุปกรณ์สร้างสรรค์ต่างๆ เช่น หุ่นมือ หุ่นชัก และอุปกรณ์ดนตรีหลากหลายมาใช้เป็นตัวช่วยให้
เด็กเกิดการเรียนรู้ทักษะทางดนตรีมากขึ้น
วุฒิภาวะของเด็ก
ในการจัดการเรียนการสอนดนตรีแก่เด็กสิ่งที่สำคัญที่ครูต้องคำนึงถึงคือวุฒิภาวะของเด็กด้านต่างๆ คือ
        1. ด้านร่างกาย
        2. ด้านอารมณ์
        3. ด้านสังคม
        4. ด้านสติปัญญา
          ดังนั้นดนตรีเป็นกิจกรรมที่ตอบสนองความต้องการของเด็กให้มีการพัฒนาทั้ง 4 ด้านดีขึ้น
รูปแบบของกิจกรรมดนตรีที่ผู้ปกครอง ครู ควรจัดให้เด็กได้มีโอกาสปฏิบัติ คือ
       1. ประสบการณ์ด้านการฟังเพลงให้เด็กได้มีโอกาสฟังเพลงรอบๆตัว อย่าให้ดังไปหรือเบาไป เช่น การตักน้ำ เปิดขวด เทน้ำลงถัง เป็นต้น
       2. ประสบการณ์ด้านการร้องเพลง ทำให้เด็กเกิดความสนใจ เกิดเจตคติที่ดีต่อดนตรี เพลงที่เด็กฟังต้องมีการเชิญชวนไม่กดดัน และเด็กมีส่วนร่วม
       3. ประสบการณ์ด้านการเคลื่อนไหวและจังหวะต้องค่อยๆสอนให้เด็กรู้จังหวะ การเคาะจังหวะช้า,เร็ว การเดินประกอบจังหวะช้า,เร็ว
      4. ประสบการณ์ด้านการดนตรี แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ สอนในห้องเรียนและสอนตัวต่อตัว
      5. ประสบการณ์ด้านการสร้างสรรค์ดนตรี สำรวจเสียงในห้องเรียน เปรียบเทียบเครื่องดนตรี
      6. ประสบการณ์ด้านการอ่านสัญลักษณ์ทางดนตรีหรือโน้ตเพลง กิจกรรมไม่ต้องชี้ให้จำแต่สอนไปเรื่อยๆประมาณ 7-8 ครั้ง เด็กจะจำจังหวะและ ตัวโน๊ตได้
หลักการสอนดนตรีสำหรับเด็กปฐมวัย ควรครอบคลุมถึงสิ่งต่อไปนี้
      1. ครูควรสอนเพลงที่หลากหลายแก่เด็กเพลงที่มีความหมายที่ดีเช่นเพลงสรรเสริญพระบารมีเพลงชาติ
      2. ครูควรสอนเด็กๆให้รู้จักจังหวะที่ถูกต้อง เช่น ช้า, เร็ว , ปรบมือ, เคาะจังหวะ
      3. ให้เด็กทุกคนมีส่วนร่วมในลักษณะผู้นำ - ผู้ตาม
     4. เด็กเข้าใจลักษณะองค์ประกอบดนตรี ทำนอง
      5. เด็กสามารถแยกแยะเสียงสูงต่ำ
      6. เด็กมีประสบการณ์สร้างสรรค์ดนตรีมากที่สุด
      7. เด็กมีความสุขในการเรียนดนตรี



การปลูกฝังทัศนคติดนตรีกับเด็กปฐมวัย
        การจัดกิจกรรมดนตรีในระดับปฐมวัยนั้น ตัวเด็กเองจะได้พัฒนาทางทัศนคติที่ดีควบคู่ไปด้วย และกระบวนการเรียนการสอน เมื่อเด็กเริ่มการเรียนรู้สาระดนตรี เด็กจะเริ่มสะสมประสบการณ์ต่างๆ รวมทั้งทัศนคติซึ่งเป็นเรื่องทางจิตใจ ดังนั้นจึงเป็นความจำเป็นที่ผู้สอนควรมีทัศนคติที่ดีต่อการเรียนการสอนและจัดการเรียนการสอนให้เด็กได้รับประสบการณ์ที่พึงพอใจเพื่อเด็กเกิดความสนใจ ความชอบ ความรักในดนตรี สำหลับเด็กวัยนี้ควรปลูกฝังทัศนคติที่จัดเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นวัยที่เริ่มเรียนดนตรี ถ้าเด็กมีทัศนคติต่อดนตรีแล้ว ในการศึกษาดนตรีต่อๆไป เด็กย่อมจะมีความสนใจอยากศึกษาด้านสาระดนตรี ดังนั้นครูผู้สอนจึงพยายามทำให้เด็กเพลิดเพลิน สนุกสนานไปกับดนตรีเสมอ