วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554

มองภาษาไทยผ่านพัฒนาการสมองของเด็กปฐมวัย

มองภาษาไทยผ่านพัฒนาการสมองของเด็กปฐมวัย

วันที่ 23 ก.ค. 2553 (จำนวนคนอ่าน 1775 คน)
สำนักประชาสัมพันธ์เขต 4
ภาษา ไทยเป็นภาษาประจำชาติที่มีเอกลักษณ์ ซึ่งคนไทยควรต้องอนุรักษ์ภาษาไทยกันไว้ แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีการแบ่งกลุ่มความรู้ความเข้าใจในภาษาไทยตามเนื้อหา วิชาการและแยกกันศึกษาค้นคว้า ทั้งด้านภาษาศาสตร์ ศิลปศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และศาสตร์อื่น ๆ แต่ด้วยความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของสมอง ทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องภาษาเกิดขึ้นเป็น อย่างมาก และเห็นความเชื่อมโยงระหว่างวิทยาการด้านต่าง ๆ ผ่านการศึกษาและพัฒนาการด้านภาษาและสมองของเด็ก

เคยสังเกตไหมว่า ทำไมเด็กที่เกิดมาจึงสามารถพูดคุยภาษาไทยได้ เพราะคนไทยทุกคนไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ สามารถใช้ภาษาไทยพูดคุยโต้ตอบระหว่างกันได้โดยไม่ต้องการการเรียนรู้อย่าง เป็นระบบ เมื่อเกิดมาในสภาพแวดล้อมที่มีการใช้ภาษาไทยสื่อสารกันเป็นประจำ ซึ่งเด็กทารกจะค่อย ๆ เรียนรู้ จดจำ และพูดเป็นคำในภาษาไทยได้เมื่ออายุประมาณ 1 ขวบ เช่นเดียวกันกับเด็กทั่วโลก ที่ไม่ว่าจะเกิดในสังคมที่ใช้ภาษาใด ก็จะสามารถพัฒนาความเข้าใจและใช้ภาษาพูดตามวัยได้ในช่วงอายุใกล้เคียงกัน อย่างไรก็ตาม เด็กกลุ่มด้อยโอกาสหรือที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการพัฒนาทางภาษา มักมีพัฒนาการทางภาษาล่าช้าตั้งแต่ในช่วงปฐมวัย

จากผลการสำรวจพัฒนาการเด็กปฐมวัยในประเทศไทยโดยกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งประเมินโดยใช้แบบคัดกรองและทำมาทั้งหมด 3 ครั้ง ครั้งล่าสุดคือในปี พ.ศ. 2550 พบว่า พัฒนาการด้านภาษาของเด็กไทยมีความล่าช้ามากกว่าด้านอื่น ๆ อย่างชัดเจน โดยมีตัวเลขอยู่ที่ร้อยละ 22 นั่นแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการที่เกิดขึ้น ซึ่งจะมีผลกระทบตามมาต่อตัวเด็กเองในอนาคตผลกระทบของการมีภาษาล่าช้าในเด็ก ช่วงปฐมวัย

เมื่อกล่าวถึงเรื่องเด็กพูดช้าหรือมีภาษาพัฒนาล่าช้า คนส่วนใหญ่อาจไม่เห็นว่าเป็นปัญหาสำคัญ เพราะเด็กส่วนมากมักจะค่อย ๆ พูดได้หรือเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ได้ในที่สุด แม้จะช้ากว่าเด็กในวัยเดียว กันไปบ้างก็ตาม ซึ่งจากผลการศึกษาติดตามเด็กในระยะยาวจากช่วงปฐมวัยจนเข้าสู่วัยเรียนพบว่า แม้เด็กส่วนหนึ่งจะมีพัฒนาการที่ดีขึ้นจนไม่ต่างจากเด็กวัยเดียวกัน แต่มีเด็กจำนวนครึ่งหนึ่งหรือ 2 ใน 3 ที่ยังคงมีพัฒนาการทางภาษาล่าช้าเมื่อเข้าสู่วัยเรียน และมักจะมีผลกระทบต่อการเรียน หรือมีความบกพร่องของทักษะทางสังคม เนื่องจากไม่สามารถใช้ภาษาพูดเพื่อสื่อสารกับผู้อื่นได้อย่างเป็นปกติ

เนื่องด้วยพัฒนาการทางภาษาล่าช้าเป็นปัญหาของเด็กปฐมวัยที่พ่อแม่มักนำมา ปรึกษาแพทย์ จึงทำให้มีการศึกษาวิจัยอย่างกว้างขวางทั้งในประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ หากไม่นับรวมปัญหาที่เกิดจากความผิดปกติทางการแพทย์ เช่น โรคทางสมอง หรือพันธุกรรม ที่มีผลกระทบต่อพัฒนาการของสมอง ภาวะความบกพร่องทางสติปัญญาที่เกิดจากสาเหตุต่าง ๆ หรือกลุ่มอาการ ออทิสติก ปัญหาพัฒนาการทางภาษาล่าช้าในกลุ่มเด็กที่ไม่พบสาเหตุที่ชัดเจน มักเกิดจากปัจจัยทางด้านพันธุกรรมที่ถ่ายทอดกันในครอบครัว ร่วมกับปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการพัฒนาการเตรียมความพร้อม เรื่องการอ่าน

จากข้อสรุปผลการวิจัยในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก ได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ที่ทำการศึกษาทั้งในกลุ่มเด็กที่มาพบแพทย์ในสถานบริการ และเด็กทั่วไปในชุมชนหรือโรงเรียน พบว่าระบบเสียงในภาษาอังกฤษเป็นองค์ประกอบสำคัญที่เชื่อมโยงระหว่างภาษาพูด และการเริ่มหัดอ่านในเด็ก ทำให้ในระยะหลังมีการปรับแนวทางการสอนให้เด็กอ่านออกเขียนได้ใหม่ โดยใช้วิธีการที่ช่วยพัฒนาให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างระบบเสียงกับ สัญลักษณ์หรือตัวอักษรในภาษาอังกฤษ

ด้วยความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยเฉพาะเมื่อมีเครื่องมือที่สามารถศึกษาการทำงานของสมองเด็กขณะกำลังทำสิ่ง ใดสิ่งหนึ่ง นำไปสู่ความเข้าใจในเรื่องความสำคัญของการเชื่อมโยงดังกล่าวในสมองเด็กที่ กำลังพัฒนา และเมื่อเด็กกลุ่มที่มีความบกพร่องทางด้านการอ่านได้รับการสอนด้วยเทคนิคที่ อิงกับระบบเสียงในภาษา นอกจากจะเห็นผลสัมฤทธิ์ด้านการอ่านที่ดีขึ้นแล้ว ผลการศึกษาของสมองยังพบว่า สมองบริเวณที่เกี่ยวข้องกับการอ่านทำงานเชื่อมโยงได้ดีขึ้นกว่าเดิมอย่าง ชัดเจน ในปัจจุบันแนวทางการสอนดังกล่าวจึงไม่เพียงแต่ถูกนำมาใช้เพื่อช่วยเหลือเด็ก กลุ่มที่มีปัญหาเท่านั้น แต่ยังกำหนดให้เป็นแนวทางหลักในการสอนเพื่อหัดอ่านหนังสือสำหรับเด็กปกติ ทั่วไป แม้การศึกษาวิจัยส่วนมากจะทำในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักก็ตาม

ส่วนการศึกษาวิจัยเรื่องปัญหาการอ่านของเด็กไทย ส่วนมากจะศึกษาทักษะในด้านที่เกี่ยวข้องกับผลสัมฤทธิ์ด้านการอ่านโดยรวม แต่ยังขาดการนำความรู้ความเข้าใจเรื่องหลักการพื้นฐานของการทำงานของสมอง มาเชื่อมโยงกับระบบเสียงในภาษาพูด ในอดีตการสอนเรื่องอ่านเขียนภาษาไทยในระบบการศึกษา เคยอิงหลักพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับระบบเสียงอยู่บ้าง ได้แก่ การสอนให้เด็กรู้จักหลักการการสะกดคำอย่างแม่นยำตั้งแต่เริ่มแรก ต่อมามีการปรับวิธีการสอนตามแนวทางที่เกิดขึ้นในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็น ภาษาแรก ซึ่งเป็นที่มาของวิธีการสอนการอ่านดังที่ปรากฏในหลักสูตรของกระทรวง ศึกษาธิการในช่วงหลัง วิธีการสอนดังกล่าวจะเน้นการเห็นและจดจำรูปคำมากกว่าการเน้นความเชื่อมโยง กับระบบเสียง

นอกจากทักษะการสะกดคำที่เคยเป็นหลักการสอนภาษาไทยในอดีต การท่องอาขยานหรือบทร้อยกรองยังเป็นการเตรียมทักษะความพร้อมให้แก่เด็กช่วง ปฐมวัยได้เป็นอย่างดี ความรู้ที่เกิดจากการสังเกตและการสรุปบทเรียนในอดีต จึงเกิดการเรียบเรียง บทอาขยานต่าง ๆ มากมายให้เด็กได้หัดเรียนรู้ท่องจำ การฟังและพูดคำคล้องจองเป็นการพัฒนาทักษะความพร้อมพื้นฐานเพื่อการอ่าน ซึ่งมีทั้งในภาษาไทยและในภาษาอังกฤษ ดังนั้น การท่องบทอาขยาน คำกลอน ฟังหรือร้องเพลง หรืออื่น ๆ ที่มีคำคล้องจองในลักษณะเดียวกัน จึงไม่ใช่เพียงการอนุรักษ์ภาษาไทย แต่เป็นการส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษาให้เด็กในสังคมให้มีความพร้อมสำหรับการ เรียนเขียนอ่านภาษาไทยได้อย่างเข้าใจ

ด้วยเหตุนี้ทางคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้รับการสนับสนุนให้พัฒนาโครงการเพื่อการพัฒนาศักยภาพประชากรไทยจากพื้นฐาน ความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะช่วยแก้ปัญหาพัฒนาการทางภาษาล่าช้าของเด็กในสังคม และร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ในการพัฒนารูปแบบเพื่อเตรียมความพร้อมด้านการอ่านโดยอิงหลักการการพัฒนาสมอง ต่อไป. รศ.พญ.นิชรา เรืองดารกานนท์
ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น